วันอาทิตย์ ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568
มีภาพข่าวในสัปดาห์ที่ผ่านมาที่น่าจะทำให้หลายคนแปลกใจ เมื่ออยู่ๆ ก็พบเห็นภาพคนงานกำลังรื้อถอนทุบทำลายพื้นที่ส่วนหนึ่งของอาคารทำเนียบขาว ที่เรียกว่า 'อีสต์ วิง' (White House East Wing) ตามคำสั่งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่วางโปรเจ็คต์ใหม่ กับการสร้างห้องบอลล์รูมเพิ่มขึ้นมาในทำเนียบขาว ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในอาคารสำคัญยิ่งยวดของสหรัฐฯ แห่งนี้ในรอบระยะเวลาหลายทศวรรษ
สำหรับ อีสต์ วิง คือส่วนของอาคารที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของอาคารหลักทำเนียบขาว ปกติแล้วใช้เป็นส่วนสำนักงานของสตรีหมายเลขหนึ่ง และเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นๆ รวมถึงยังใช้เป็นห้องประชุมและสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยง งานพิธีต่างๆ ด้วย
.jpg)
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ อดีตนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากนครนิวยอร์ก ได้สั่งเปลี่ยนแปลงทั้งห้องทำงานรูปไข่ โรสการ์เด้น และส่วนอื่นๆ ในทำเนียบขาวมาแล้ว นับจากเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกรามคมที่ผ่านมา แต่สำหรับโปรเจ็คต์ห้องบอลล์รูมขนาดใหญ่ ทรัมป์บอกว่า นี่คือสิ่งที่เขาต้องการมานานแล้วด้วยเหตุผลหลายประการ หลักๆ คือ ทรัมป์ต้องการสถานที่ที่ใหญ่ขึ้นเพื่อที่จะสามารถรองรับแขกในงานเลี้ยงงานพิธีต่างๆ ได้มากขึ้น ทรัมป์เห็นว่า อีสต์ วิง นั้นเล็กเกินไปสำหรับงานเลี้ยง งานพิธีสมัยใหม่ หรืองานต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง สามารถจุคนได้เพียง 200 คนเท่านั้น แต่ห้องบอลล์รูมใหม่ บนพื้นที่ 90,000 ตารางฟุต หรือราว 8,360 ตารางเมตร จะสามารถรองรับจำนวนผู้ร่วมงานได้ถึง 900-1,000 คน
ประการต่อมา ทรัมป์วางให้ห้องบอลล์รูมใหม่เป็นเหมือนการปรับปรุง อีสต์ วิง ให้ทันสมัยมากขึ้น เนื่องจากอาคาร อีสต์ วิง แห่งนี้ สร้างมาตั้งแต่ปี 1902 และมีการรีโนเวตครั้งหลังสุดตั้งแต่เมื่อปี 1942 โน่น ไหนๆ ก็ต้องการปรับปรุงให้ทันสมัยใหม่เอี่ยมอยู่แล้ว สู่ทุบทิ้งแล้วสร้างห้องใหม่เลยง่ายกว่า เพราะทำทีเดียวจบ ทรัมป์ย้ำว่า โครงการนี้ถือว่าเป็นงานปรับโฉมทำเนียบขาวที่ยิ่งใหญ่สุดในรอบ 150 ปี ประธานาธิบดีทุกคนฝันอยากมีห้องจัดงานเลี้ยงใหญ่ๆ ในทำเนียบขาวอยู่แล้ว โครงการนี้ไม่ได้ทำเพื่อสนองความต้องการของเขาเพียงคนเดียว แต่ประธานาธิบดีคนอื่นๆ หลังจากเขาก็จะได้รับประโยชน์ด้วย
ส่วนเรื่องงบประมาณการก่อสร้าง ที่หลายฝ่ายจับจ้องมากที่สุด ทรัมป์ยืนยันว่า โครงการนี้จะใช้เงินส่วนตัวของเขาและผู้บริจาค เพื่อที่จะได้ไม่ต้องใช้เงินงบประมาณซึ่งต้องขออนุมัติจากรัฐสภา และไม่กระทบต่อเงินภาษีของประชาชนแม้แต่เซนต์เดียว เขาเปิดเผยระหว่างพูดถึงเรื่องนี้เมื่อวันพุธว่า โครงการนี้จะใช้เงินประมาณ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 9,835 ล้านบาท) ขณะที่รัฐบาลเคยแถลงก่อนหน้านี้ว่า จะใช้เงินประมาณ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 6,557 ล้านบาท)
.jpg)
สถานีโทรทัศน์ CNN รายงานว่า ทำเนียบขาวได้เผยรายชื่อผู้บริจาคที่มีทั้งบริษัทใหญ่และบุคคลที่มีชื่อเสียงทั้งหมด 37 ราย เช่น แอมะซอน แอปเปิล กูเกิล ไมโครซอฟท์ ฝาแฝดตระกูลวิงเคิลวอสส์ที่ก่อตั้งเจมิไน ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี ส่วน ABC News รายงานว่า เมื่อต้นเดือนนี้ รัฐบาลทรัมป์ได้เปิดเผยรายชื่อบุคคลและบริษัทที่คาดว่าจะร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ทำเนียบขาวเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับโครงการสร้างห้องบอลล์รูม รายชื่อส่วนใหญ่เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีและคริปโทฯ ซึ่งหลายแห่งได้รับสัญญาจัดซื้อจัดจ้างมูลค่าสูงในรัฐบาลทรัมป์สมัยที่ 2 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมคริปโทฯ ที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายและคำสั่งฝ่ายบริหาร ขณะที่ครอบครัวทรัมป์เองก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นจากการลงทุนในคริปโทฯ นอกจากนี้ ยังมีบริษัทอุตสาหกรรมกลาโหม อย่าง ล็อกฮีดมาร์ติน และพาลันเทียร์ (Palantir) อยู่ในรายชื่อร่วมงานเลี้ยงด้วย
แม้จนถึงขณะนี้ ทำเนียบขาวจะยังไม่ได้เปิดเผยอย่างโปร่งใสว่าโครงการจะใช้เงินบริจาคอย่างไร แต่ดูเหมือนว่าเงินบริจาคจะมาในรูปแบบที่ต่างออกไป เช่น อัลฟาเบต ที่เป็นบริษัทแม่ของกูเกิล แจ้งในการตกลงยอมความกับทรัมป์ กรณีไม่ให้เขาใช้ยูทูบหลังจากกลุ่มผู้สนับสนุนเขาพากันบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ว่า จะบริจาคเงิน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 720 ล้านบาท) ช่วยสร้างห้องบอลล์รูมในทำเนียบขาว โดยบริจาคในนามของทรัมป์ให้แก่ Trust for the National Mall ซึ่งเป็นนิติบุคคลไม่แสวงหากำไรที่มีพันธกิจในการบูรณะฟื้นฟูเนชันนัลมอลล์ ทำเนียบขาวและอุทยานประธานาธิบดี นิติบุคคลนี้ทำหน้าที่จัดการเงินบริจาคให้แก่โครงการสร้างห้องบอลรูม ขณะที่สำนักงานอุทยานแห่งชาติและทำเนียบขาวรับหน้าที่หลักในการออกแบบและก่อสร้าง
.jpg)
ถึงกระนั้น สิ่งที่หลายฝ่ายกังวลไม่ได้จำกัดแค่เรื่องงบประมาณก่อสร้างเท่านั้น แต่ยังมองถึงความเหมาะสมในการก่อสร้าง รวมถึงแผนการรื้อถอนทุบทำลายที่ดูจะเร่งรีบ จนมีการตั้งข้อสังเกตว่า ทรัมป์และทำเนียบขาวดำเนินการเรื่องนี้อย่างถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวคนหนึ่งเผยก่อนหน้านี้ว่า ทำเนียบขาวตั้งใจจะส่งแผนการเหล่านี้ไปยังคณะกรรมการวางแผนเมืองหลวงแห่งชาติ (NCPC) ซึ่งมีหน้าที่กำกับตรวจสอบการก่อสร้างต่างๆ ของรัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตัน ดีซี และในรัฐต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกัน ในเร็วๆ นี้อยู่แล้ว ก่อนสำทับว่า NCPC ไม่มีอำนาจกำกับดูแลงานรื้อถอน และออกปากว่า โครงการก่อสร้างห้องบลล์รูมในส่วนของ อีสต์ วิง ไม่กระทบส่วนอื่นๆ ของอาคารทำเนีบขาว อีกทั้งปกติแล้ว ขอบเขตและขนาดของโครงการรื้อถอนและปรับปรุงย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
อย่างไรก็ดี เสียงครหายังคงดังกระหึ่มจากกลุ่มที่ต่อต้านทรัมป์ โดยเฉพาะแกนนำของเดโมแครต ที่มองว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน การใช้อำนาจตามอำเภอใจ ไม่โปร่งใส และกระทำการที่อาจกระทบต่อความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ฮิลลารี คลินตัน อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง โพสต์บนแพลตฟอร์ม X ว่า ทำเนียบขาวไม่ใช่บ้านทรัมป์ แต่เป็นของรัฐบาลและคนอเมริกัน และตอนนี้ทรัมป์กำลังทุบทิ้ง
ส่วน พริยา เจน ประธานคณะกรรมการอนุรักษ์มรดกของสมาคมนักประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม แสดงความกังวลกับโครงการห้องบอลล์รูมของทรัมป์ เนื่องจากภายใต้กฎหมายอนุรักษ์ทรัพย์สินทางประวัติศาสตร์แห่งชาติของอเมริกาปี 1966 โครงการที่ส่งผลกระทบต่ออาคารที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ต้องมีการตรวจสอบ แม้จะมีข้อยกเว้นสำหรับทำเนียบขาว อาคารรัฐสภา ศาลสูงสุดและบริเวณโดยรอบ แต่เพราะอาคารทำเนียบขาวและส่วนประกอบมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ การรื้อถอน ต่อเติม หรือทุบทำลาย จึงควรมีการแจ้งอย่างเป็นทางการ รวมถึงสอบถามความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงจากประชาชนทั่วไปล่วงหน้าด้วย
.jpg)
ทำเนียบขาวตอบโต้เสียงครหาว่า เป็นการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และอ้างว่า ประธานาธิบดีคนก่อนๆ ต่างเคยสั่งต่อเติมและรีโนเวตทำเนียบขาวมาแล้วทั้งนั้น ส่วนทรัมป์อ้างว่า อีสต๋ วิง เคยผ่านการรีโนเวตเล็กๆ น้อยๆ มาแล้วหลายครั้ง และแทบไม่เหลือสภาพเดิมที่ก่อสร้างแต่แรกเริ่มในปี 1902 อีกแล้ว
เข้าทำนองว่า ก็จะทุบ จะสร้าง จะทำใหม่อ่ะ ใครจะทำไม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี