รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ใช้ยาแก้ปวดให้ปลอดภัย (ตอนจบ)

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ใช้ยาแก้ปวดให้ปลอดภัย (ตอนจบ)

วันจันทร์ ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

สัปดาห์ก่อนได้กล่าวถึงอาการปวดชนิดต่าง ๆ ที่เรามักพบเจอในชีวิตประจำวันไปแล้ว สัปดาห์นี้จะกล่าวถึงชนิดของยาแก้ปวดที่เราใช้เพื่อบรรเทาอาการปวด

สำหรับการใช้ยาบรรเทาปวดที่ใช้กันบ่อยมี 2 ชนิด คือ ยาบรรเทาปวดตัวแรกที่หลายคนคุ้นเคยคือ พาราเซตามอล (Paracetamol หรืออีกชื่อหนึ่งคือ อะเซตามิโนเฟน, Acetaminophen) เป็นยาแก้ปวดและลดไข้พื้นฐานที่หาซื้อได้ง่าย ยาพาราเซตามอลเป็นยาปลอดภัยสำหรับคนที่ไม่แพ้ยานี้ และเมื่อใช้ตามขนาดที่แนะนำ สามารถใช้บรรเทาอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น ปวดหัว ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อที่ไม่รุนแรง และช่วยลดไข้ 


แต่มีข้อควรระวังสำคัญที่สุด คือ ห้ามรับประทานเกินขนาดสูงสุดต่อวันเด็ดขาด โดยทั่วไปในผู้ใหญ่ไม่ควรเกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน (เท่ากับยาเม็ด 500 มิลลิกรัม ไม่เกิน 8 เม็ด) ห้ามรับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลานาน หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 3-5 วัน ควรปรึกษาแพทย์ 

การรับประทานยาเกินขนาดแม้เพียงเล็กน้อยแต่ทำต่อเนื่อง หรือคนที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำแล้วกินยาพาราเซตามอล จะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะตับวายเฉียบพลัน

ส่วนยาบรรเทาปวดกลุ่มที่ 2 คือ ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (ยาเอ็นเสด, NSAIDs) ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), นาพรอกเซน (Naproxen), ไดโคลฟีแนค (Diclofenac), เซเลคอกซิบ (Celecoxib) เป็นต้น มีฤทธิ์แก้ปวด ลดไข้ และลดการอักเสบได้พร้อมกัน จึงมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาอาการปวดที่มีการอักเสบร่วมด้วย เช่น ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อจากการบาดเจ็บ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือปวดประจำเดือน 

แต่มีข้อควรระวังที่สำคัญในการใช้ยาเอ็นเสด (NSAIDs) คือ ยากลุ่มนี้มีผลต่อทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดท้อง แสบท้อง หรืออาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร และมีเลือดออกในทางเดินอาหารได้ จึงควรรับประทานหลังอาหารทันทีเพื่อลดการระคายเคือง ยากลุ่มเอ็นเสดยังมีผลต่อไตและหัวใจ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคไต โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจขาดเลือด จึงต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง  ย้ำว่าไม่ควรซื้อยากลุ่มเอ็นเสดมากินเองโดยเด็ดขาด และเน้นว่ายานี้ไม่ควรใช้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น วาร์ฟาริน) หรือแอสไพรินขนาดต่ำ และขอบอกย้ำ ๆ ว่าต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ เพราะหากใช้เองแล้วใช้ผิด ก็เพิ่มความเสี่ยงของการมีเลือดออกได้ 

เพื่อให้เราใช้ยาแก้ปวดอย่างได้ผลดี โดยไม่ทำร้ายตนเอง จึงต้องปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

1. อ่านฉลากยาและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ไม่รับประทานยาเกินขนาด หรือเกินความถี่ที่กำหนด  

2. ไม่ใช้ยาซ้ำซ้อน ต้องตรวจสอบส่วนประกอบของยาที่กำลังจะรับประทาน ว่ามียาตัวเดียวกัน หรือมีส่วนผสมของยาแก้ปวดซ่อนอยู่หรือไม่ เช่น ยาแก้หวัดบางชนิดมีส่วนผสมของพาราเซตามอล จะทำให้เราได้ยาเกินขนาดได้ 

3. แจ้งข้อมูลสุขภาพแก่เภสัชกรและแพทย์ทราบทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น โรคประจำตัว เช่น โรคตับ โรคไต โรคกระเพาะอาหารอักเสบ ความดันโลหิตสูง ยาประจำตัว หรือยาชนิดอื่นที่ใช้อยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง และปฏิกิริยาระหว่างยา 

4. สังเกตอาการแพ้ยา และผลข้างเคียง หากมีผื่นขึ้น แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หรือมีอาการผิดปกติทางเดินอาหาร เช่น อุจจาระสีดำเข้ม ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที 

 

รศ. ภญ. ดร. ณัฏฐดา อารีเปี่ยม และ รศ. ภก. ดร. บดินทร์ ติวสุวรรณ 

คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top