’ธรรมศาสตร์‘ ผนึก ASMG  ทำแนวทางรักษา H.pylori ระดับอาเซียนใหม่ ช่วยหลายร้อยล้านคนรอด ‘มะเร็งกระเพาะ’

’ธรรมศาสตร์‘ ผนึก ASMG ทำแนวทางรักษา H.pylori ระดับอาเซียนใหม่ ช่วยหลายร้อยล้านคนรอด ‘มะเร็งกระเพาะ’

วันเสาร์ ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 18.15 น.

’ธรรมศาสตร์‘ ผนึก ASMG  ทำแนวทางรักษา H.pylori ระดับอาเซียนใหม่ ช่วยหลายร้อยล้านคนรอด ‘มะเร็งกระเพาะ’

ธรรมศาสตร์ ผนึก “ASMG - ผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ” จัดทำแนวทางการรักษาเชื้อ H.pylori ระดับภูมิภาคอาเซียนฉบับใหม่ ยกระดับมาตรฐาน – เพิ่มประสิทธิภาพการรักษาในไทย – อาเซียน ช่วยสกัดไม่ให้เชื้อที่อยู่ในประชากรกว่าร้อยล้านคน พัฒนาไปสู่ “มะเร็งกระเพาะ - แผลในกระเพาะ - กระเพาะอักเสบเรื้อรัง” ลดอัตราการเสียชีวิต - เอื้อประเทศใช้งบเหมาะสม พร้อมเป็นฐานทางวิชาการต่อยอดสู่ Medical Hub


ศูนย์ความเป็นเลิศโรคระบบทางเดินอาหาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ร่วมกับ ASEAN Stomach and Microbiota Study Group (ASMG) และคณะผู้เชี่ยวชาญโรคทางเดินอาหารจากนานาชาติ จัดทำ “Bangkok Consensus 2025 on the Managemant of helicobacter pylori Infection” พร้อมลงมติรับรองให้เป็นแนวทางการรักษาเชื้อ Helicobacter pylori (H. pylori) มาตรฐานระดับอาเซียน เพื่อยกระดับมาตรฐานการรักษาเชื้อดังกล่าว ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคอย่างกระเพาะอักเสบเรื้อรัง แผลในกระเพาะอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหาร ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ภายใต้การใช้งบประมาณอย่างเหมาะสมทั้งในไทย และอาเซียน

ศ. นพ.รัฐกร วิไลชนม์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการด้านระบบทางเดินอาหาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเลขาธิการ ASMG กล่าวว่า เชื้อ H.pylori เป็นเชื้อแบคทีเรียที่เกิดจากติดเชื้อจากอาหาร และสามารถส่งต่อเชื้อได้ง่ายผ่านการใช้สิ่งของร่วมกัน และหากมีการกินอาหารที่ผ่านกระบวนการปิ้งย่าง หรือกินผักผลไม้น้อยก็จะเป็นปัจจัยเสริมที่ส่งผลให้เชื้อพัฒนากลายเป็นโรคร้ายแรงขึ้นได้ แต่ข้อดีคือถ้ารักษาเชื้อดังกล่าวหายแล้วจะลดโอกาสการเป็นโรคเหล่านั้นได้เลย ไม่เว้นแม้แต่มะเร็งกระเพาะอาหาร รวมถึงการติดเชื้อซ้ำจะต่ำเพราะภูมิคุ้มกันดีขึ้น อีกทั้งการตรวจเชื้อก็ทำได้ง่ายหลากหลายวิธี เช่น ผ่าน ปัสสาวะ เลือด ลมหายใจ ฯลฯ

ทั้งนี้ ในไทยพบอัตราการติดเชื้อ H.pylori ในประชากรสูงกว่า 20 ล้านคน ขณะที่อาเซียนที่มีประชากรรวมประมาณ 700 – 800 ล้านคน มีสัดส่วนการติดเชื้ออยู่ที่ 200 – 300 ล้านคน ส่วนทั่วโลกที่มีประชากรมากกว่า 7,500 ล้านคนนั้น มีคนที่ติดเชื้อดังกล่าวประมาณ 2,000 – 3,000 ล้านคน ซึ่งในจำนวนต่างๆ เหล่านี้ จะมีราว 7 – 15% ที่เชื้อจะพัฒนาต่อกลายเป็นโรคที่รุนแรงขึ้นจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

ดังนั้น การมีแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และสามารถทำให้ผู้ติดเชื้อ H.pylori หายขาดได้ ก็จะช่วยป้องกัน และรักษาชีวิตของคนที่อาจจะเป็นโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งกระเพาะอาหาร หรือแผลในกระเพาะอาหารจากเชื้อดังกล่าวได้จำนวนมหาศาล ซึ่งการจะกำหนดแนวทางการวินิจฉัย การรักษา และการติดตามอาการที่เกิดผลดี และเหมาะสมที่สุดสำหรับภูมิภาคอาเซียนได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน และเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยมีพันธมิตรทางวิชาการที่มาร่วมกันทำให้เกิดขึ้นได้

ศ. นพ.รัฐกร กล่าวต่อไปว่า ในการจัดทำและลงมติรับรองครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 2 และเป็นแนวทางฉบับล่าสุดของอาเซียน ซึ่งมีสาระสำคัญที่แตกต่างจากครั้งแรกเมื่อ 2561 คือ การเพิ่มข้อมูลการดื้อยาปฏิชีวนะในแต่ละประเทศอาเซียน การปรับสูตรยารักษาให้เหมาะสมแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาจาก 60 – 70% เป็นมากกว่า 90% การเพิ่มแนวทางการตรวจวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยีใหม่ เช่น molecular testing และการเน้นแนวทางการป้องกันการติดเชื้อซ้ำ และการเฝ้าระวังมะเร็งกระเพาะอาหารในระยะยาว

สำหรับประเทศไทยเองจะมีการผลักดันให้แนวทางการรักษาฉบับกล่าวเป็นแนวทางหลักของประเทศ รวมถึงใช้อ้างอิงในการปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาเชื้อ H.pylori ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง ประกันสังคม สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ) เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน หรือเอเชียก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ร่วมกับแนวทางระดับชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทและข้อมูลการดื้อยาของประเทศนั้นๆ ได้

นอกจากนี้ ช่วงที่ผ่านมารวมถึงปัจจุบันนี้ไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางของหลายประเทศทั่วโลกในการเข้ามารักษาพยาบาล ด้วยคุณภาพการรักษาที่สูงทัดเทียมกับระดับสากล แต่ค่าใช้จ่ายไม่สูงเท่ากับในหลายประเทศ ฉะนั้น ถ้าไทยยิ่งมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมทางการแพทย์ รวมถึงการมีองค์ความรู้ และพื้นฐานทางวิชาการที่เข้มแข็ง ก็จะช่วยดึงดูดชาวต่างชาติให้มารับบริการที่ไทยมากขึ้น ตลอดจนสร้างรายได้ให้กับประเทศ และพาไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์นานาชาติ (Medical Hub) ได้

 ศ. พญ. วโรชา มหาชัย ประธาน ASMG กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางการรักษาฉบับนี้ จะทำให้เกิดมิติใหม่ในการรักษาสำหรับภูมิภาคอาเซียนที่มีประสิทธิภาพ ที่สำคัญยังนำโดยนักวิชาการของไทย และ มธ. เองก็มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้เกิดขึ้น อีกทั้งจะมีการผลักดันไปสู่การตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ระดับนานาชาติอย่าง journal of gastroenterology and hepatology ด้วย เพื่อทำให้เกิดการยอมรับในระดับนานาชาติ และเป็นอีกแนวทางหลักคู่กับ 3 แนวทางของโลก (Maastricht guidelines ใช้ในยุโรป, American Guidelines ใช้ในสหรัฐอเมริกา และ Asia-pacific Consensus Guidelines ใช้ในเอเชียแปซิฟิก)

ด้าน  Professor Kentaro Sugano, จาก Jichi Medical University ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า แม้จะเป็นเวลาถึง 10 ปีแล้วนับจากที่ Helicobacter pylori management in ASEAN: The Bangkok consensus I เผยแพร่อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2561 ซึ่งถือเป็นแนวทางการรักษาเชื้อ H.pylori ระดับภูมิภาคฉบับแรกของอาเซียน และตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งองค์ความรู้ หลักฐานทางวิชาการ ตลอดจนยารักษาก็มีความก้าวหน้าและจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทว่า ปัจจุบันเชื้อ H.pylori ยังคงเป็นปัญหาด้านสุขภาพสำคัญที่มีความท้าทายอย่างยิ่ง

ฉะนั้น แนวทางการรักษาฉบับนี้ซึ่งได้มีการปรับปรุงใหม่จึงจะช่วยให้ประเทศในภูมิภาคอาเซียนสามารถประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้คนได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อองค์ความรู้ทางวิชาการระดับนานาชาติในการช่วยให้เกิดการทำความเข้าใจ H.pylori ในระดับโลกได้ดียิ่งขึ้นด้วย

“ภูมิภาคอาเซียนจำเป็นต้องมีแนวทางการรักษาเฉพาะของตัวเอง เนื่องจากไม่สามารถนำแนวทางการรักษาของทางประเทศตะวันตกมาใช้ได้ทั้งหมด เพราะมีความชุกของการติดเชื้อ H.pylori ไปจนถึงทรัพยากรทางการแพทย์ที่แตกต่างกับอาเซียน แนวทางฉบับนี้จึงมีความหมายต่อภูมิภาคอาเซียนมาก” Professor Kentaro Sugano กล่าว

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top