ถือเป็นอีก 1 เรื่องราวที่มี “ข้อถกเถียง” กันมาเป็นระยะๆ กับ “บุหรี่ไฟฟ้า” ที่สำหรับประเทศไทยแล้วถูกระบุให้เป็น “สินค้าต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร” ตามกฎหมาย ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.2557 ซึ่งส่งผลให้บุหรี่ไฟฟ้า “ไม่สามารถผ่านพิธีศุลกากร” ดังนั้นผู้ที่ครอบครองก็จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร ทั้งฉบับเก่าปี 2469 และฉบับใหม่ปี 2560มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อนึ่ง..ก่อนหน้านี้เคยมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า “นิยามของบุหรี่ไฟฟ้าตามกฎหมายเป็นอย่างไร?” อุปกรณ์บางอย่างเช่น“ไอคอส” (IQOS) ที่ไม่ได้ใช้น้ำยาเติม แต่ใช้ยาสูบที่เป็น “บุหรี่จริง” ในลักษณะสั้นกว่าบุหรี่ทั่วๆ ไป โดยเมื่อโดนความร้อนจะสามารถผลิตควัน แต่จะไม่เกิดการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ปกติ“เข้าข่ายบุหรี่ไฟฟ้าหรือไม่?” ซึ่งทนายคนดังอย่าง เกิดผล แก้วเกิดเคยกล่าวกับทีมงาน “แนวหน้าออนไลน์” ว่ากรณีของไอคอสนั้น“ไม่อาจฟันธงได้” (แนวหน้าวาไรตี้ : กฎหมายว่าด้วย “บุหรี่ไฟฟ้า”“นิยามไม่ชัด” กระทบประชาชน-นสพ.แนวหน้า ฉบับวันที่27 ธ.ค. 2560)
เพราะเมื่อดูนิยามของประกาศกระทรวงพาณิชย์ ระบุนิยามบุหรี่ไฟฟ้าไว้ว่า “อุปกรณ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่ทำให้เกิดละอองไอน้ำในลักษณะคล้ายควันบุหรี่ไม่ว่าจะกระทำขึ้นด้วยวัตถุใด ซึ่งใช้สำหรับสูบในลักษณะเดียวกับการสูบบุหรี่” รวมถึงอุปกรณ์ส่วนควบคือ “สาร สารสกัด หรือสิ่งอื่นใด ที่ใช้เป็นแหล่งกำเนิดควันหรือละอองไอน้ำ เพื่อการสูบแบบบารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า” ดังนั้นกรณีไอคอส อาจต้อง “ยกประโยชน์ให้จำเลย” เพราะข้อกฎหมายนั้น “สั้นเกินไป ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการเผาไหม้” รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้
แต่ประเด็นใหญ่ที่มีการถกเถียงอย่างหนักหลายต่อหลายครั้งคือ “รัฐไทยควรแบนบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาดหรือไม่?” เพราะหลายๆ ประเทศที่เจริญกว่าไทยมาก บุหรี่ไฟฟ้าเป็นเพียง “สินค้าควบคุม” ไม่ใช่สินค้าต้องห้ามอย่างในประเทศไทย อาทิ สหราชอาณาจักร (UK) มีการผลักดันเรื่องนี้อย่างสุดตัว เห็นได้จากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ลอนดอน (RCP) ซึ่งเป็นสถาบันทางการแพทย์ที่เก่าแก่ที่สุดของ อังกฤษ กล่าวในรายงานเมื่อ เม.ย.2559
สอดคล้องกับ หน่วยงานสาธารณสุขอังกฤษ (Public Health England: PHE) ว่า มีหลักฐานที่เด่นชัดบ่งชี้ว่า “บุหรี่ไฟฟ้ามีความปลอดภัยกว่าบุหรี่เผาไหม้แบบปกติ และยังเป็นตัวช่วยในการเลิกบุหรี่ได้อีกด้วย” พร้อมเรียกร้องให้มีการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้กระทบต่อสุขภาพของเยาวชนและผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ รายงานล่าสุดของ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ประเทศอังกฤษ (Action on Smoking and Health : ASH UK) เผยว่าปัจจุบันมีผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในอังกฤษ 2.9 ล้านคน “กว่าครึ่งหนึ่ง” หรือ 1.3 ล้านคน สามารถเลิกบุหรี่ได้อย่างเด็ดขาด
เช่นเดียวกับ นิวซีแลนด์ ที่เพิ่งประกาศให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ถูกกฎหมาย เพื่อให้ผู้สูบมีทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพกว่าในการเลิกบุหรี่ และเชื่อในหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ว่าบุหรี่ไฟฟ้าจะช่วยให้ประเทศเข้าสู่สังคมปลอดควันได้ภายในปี 2568 ขณะที่ สหรัฐอเมริกา ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัย Southern California ยังไม่อาจสรุปได้ว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้า หรือ “Vaping” จะนำไปสู่การสูบบุหรี่จริงหรือไม่? ดังนั้นประเทศเหล่านี้จึงไม่ได้ห้ามการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในทุกทางอย่างประเทศไทย
เมื่อกระแสโลกมิได้เห็นว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งเลวร้ายต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก เพียงแต่เป็นสินค้าควบคุมที่ต้องป้องกันให้อยู่ห่างจากเด็กและเยาวชน การห้ามแบบไทยๆ จึง “กระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังที่“รัฐบาลอังกฤษได้ออกคำเตือนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในไทยพร้อมบุหรี่ไฟฟ้าว่าอาจถูกปรับหรือติดคุกถึง 10 ปี” เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวหลายรายถูกจับกุมก่อนหน้านี้ ซึ่งก่อให้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ในอังกฤษ เวียดนาม รัสเซีย และอีกหลายชาติที่บุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่สินค้าต้องห้าม
ทั้งนี้แม้นิโคตินไม่ใช่สารที่ปลอดภัย แต่นิโคตินก็ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักของโรคที่เกิดจากบุหรี่ ทว่ามาจากควันจากกระบวนการเผาไหม้ใบยาสูบ แต่ผู้สูบบุหรี่ในบ้านเราไม่มีทางเลือกในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีควันเช่นบุหรี่ไฟฟ้า ในขณะที่ประเทศที่เปิดรับทางเลือกเหล่านี้อย่างอังกฤษ และญี่ปุ่น กลับมีอัตราการสูบบุหรี่ที่ลดลง แม้กระทั่ง องค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ยังไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าสมควรห้ามใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างสิ้นเชิงหรือไม่? เพียงแต่ให้แต่ละประเทศไปพิจารณาตามความเหมาะสมกันเองเท่านั้น
ย้อนไปเมื่อกลางเดือน ธ.ค. 2560 เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย นำโดย มาริษ การันยวัฒน์ ออกมาตอบโต้ความเห็นของผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่ย้ำบ่อยครั้งว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นของอันตรายอย่างยิ่งยวด ดังนั้นผู้ที่ต้องการเลิกสูบบุหรี่จริงไม่ควรไปใช้บุหรี่ไฟฟ้าทดแทนนั้น เป็น “ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน” ดังจะเห็นได้จากกลุ่มประเทศที่มาตรฐานด้านต่างๆ สูงมากอย่าง สหภาพยุโรป (EU) ก็มิได้แบนบุหรี่ไฟฟ้าเด็ดขาดแบบประเทศไทย ดังนั้นรัฐบาลต้องนำข้อมูลงานวิจัยที่มีอยู่ในทุกแง่มุมมาพิจารณาอย่างรอบด้าน
และเมื่อทั่วโลกมิได้มองบุหรี่ไฟฟ้าเป็นปัญหา แต่ประเทศไทย “คิดล้ำหน้า” ไปไกลเสียแล้ว ผลคือเกิดการ “ระบาด” ของบุหรี่ไฟฟ้าใน “ตลาดมืด” ดังที่ มาริษ เคยเปิดเผยผ่านสื่อเมื่อเดือน ก.ย. ปีเดียวกันว่า “มูลค่าการซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้าในโลกใต้ดินของไทยนั้นอยู่ที่ราว 6 พันล้านบาทต่อปี” โดยที่รัฐบาลไทยไม่สามารถจัดเก็บภาษีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้เลยแม้แต่บาทเดียว ที่น่าห่วงคือ “ไม่สามารถห้ามเด็กและเยาวชนไม่ให้เข้าถึง” เพราะสามารถหาซื้อบุหรี่ไฟฟ้าผ่าน “โลกออนไลน์” ได้ง่ายกว่าการเดินไปซื้อบุหรี่จริงตามร้านค้าเสียอีก
ทว่าอีกด้านหนึ่ง มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ประเทศไทย (ASH Thailand) ที่มีเลขาธิการคือ นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ซึ่งต่อสู้กับปัญหาการสูบบุหรี่ในสังคมไทยมาหลายสิบปี ก็ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่า “บุหรี่ไฟฟ้าทำให้คนที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อนหันมาริลองมากขึ้น” อาทิ เมื่อ 4 ม.ค. 2561 ได้ออกหนังสือชี้แจงโดยอ้างถึงผลการศึกษาที่เผยแพร่ในวารสารการแพทย์สหรัฐอเมริกา (The American Journal of Medicine) ฉบับเดือน พ.ย. 2560 ที่ตามติดชีวิตกลุ่มตัวอย่างอายุ 18-30 ปี จำนวน 1,506 คน ทั่วสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2556-ต.ค.2557
แล้วพบว่า ร้อยละ 2.5 ของกลุ่มตัวอย่างมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้า และในกลุ่มตัวอย่างที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า ร้อยละ 47.7 หันไปสู่บุหรี่จริงในเวลาต่อมา ซึ่งหัวหน้าทีมวิจัยคือPrimack B.A. อธิบายว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่ผู้สูบได้รับปริมาณนิโคตินน้อยกว่าบุหรี่จริง รวมถึงวิธีการสูบที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับการสูบบุหรี่จริง ทำให้ร่างกายคุ้นเคยกับการเสพติดนิโคติน ก็จะเอื้อให้หันเหไปสูบบุหรี่จริงได้ง่ายขึ้น
ไม่ต่างจากความเห็นของ นพ.วันชาติ ศุภจัตุรัส กรรมการสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ ที่ออกมากล่าวเสริมเมื่อ 7 ม.ค. 2561 ว่า น้ำยาสำหรับบุหรี่ไฟฟ้านั้นคือ “สารสกัดนิโคติน” ที่สกัดจากใบยาสูบในรูปของสารเคมีผสมกับสารระเหยที่ให้กลิ่นจากใบไม้และดอกไม้ ความเข้มข้นนั้นจะแตกต่างกันตามยี่ห้อและประเภทน้ำยา แต่ส่วนใหญ่จะมีนิโคตินสกัดที่ “เข้มข้นกว่าบุหรี่จริงหลายเท่า” และย้ำด้วยว่า “นิโคตินเป็นสารเสพติด” ดังนั้นหากน้ำยาหมดและหาซื้อไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องไปซื้อบุหรี่จริงมาสูบอยู่ดี
ทั้งหมดนี้ก็เป็น “2 มุม” ระหว่างฝ่าย “หนุน-ต้าน” บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งก็เชื่อว่าหากยังไม่มีผลการศึกษาที่แน่ชัดและน่าเชื่อถือในวงกว้าง การถกเถียงเรื่องนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นไปอีกนาน!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี