การเข้าจับกุมนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมพวกทั้งหมด 4 คนหลังลักลอบเข้าตั้งแคมป์ล่าสัตว์ป่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี พร้อมกับยึดซากสัตว์ป่าคุ้มครองหลายรายการ อาทิ ซากเสือดำที่ถูกถลกหนังอย่างน่าเวทนา ซากไก่ฟ้าหลังเทา ซากเนื้อเก้ง อีกทั้งยังพบอาวุธปืนไรเฟิล ปืนลูกซอง และปืนยาวพร้อมกระสุนอีกจำนวนมากเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา จนนายเปรมชัย และพวกโดนเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมนำโดยนายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก คุมตัวส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ทองผาภูมิ พร้อมกับแจ้ง 9 ข้อหาด้วยกัน
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดมีข้อสงสัยและคำถามตามมามากมายถึงการเข้าไปล่าสัตว์ป่าสงวนในเขตรักษาพันธุ์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรของนายเปรมชัย กรรณสูต กับพวกได้อย่างไร โดยเฉพาะคำถามเรื่อง "เสือดำ" ซึ่งเป็นสัตว์สงวนหายาก ทำไมจึงถูกทีมนักล่าไฮโซตามล่าได้อย่างง่ายดายนัก ทั้งๆ ที่ธรรมชาติของเสือดำเป้นสัตว์ที่มีความปราดเปรียวว่องไวตามสัญชาตญาณนักล่าในป่าใหญ่แต่ต้องมาถูกทีมนักล่าไฮโซอย่าง "เจ้าสัวเปรมชัย" ไล่ล่านำมาถลกหนังได้อย่างไร
อีกทั้งเสือดำก็ตัวไม่ใหญ่โต มีขนาดลำตัวยาวประมาณ 80 ซม.-1 เมตร เล็กกว่าเสือโคร่งที่ลำตัวยาวเฉลี่ย 150-180 ซม.
นอกจากนี้ เสือดำ ก็เป็นสัตว์ที่ออกหากินในเวลากลางคืนและมักอยู่ในเส้นทางที่มีสัตว์ที่เป็นอาหารอาศัยอยู่ ดังนั้น ทีมนักล่าไฮโซของเจ้าสัวเปรมชัย จะต้องรู้มาก่อนล่วงหน้าว่า เสือดำ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ ณ พิกัดไหนของป่าทุ่งใหญ่ โดยเฉพาะพรานที่นำทีมเจ้าสัวเปรมชัย เข้าไปไล่ล่าจะต้องรู้มาก่อนแน่นอนและต้องมีความชำนาญกับป่าทุ่งใหญ่พอสมควร หากไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถเข้าไปไล่ล่าสัตว์ประเภทนี้ได้
จากการพูดคุยกับนายพรานคนเก่าแก่ที่เคยเข้าไปล่าสัตว์ป่าในพื้นที่ป่ากาญจนบุรีหายแห่งมาขายหารายได้เลี้ยงครอบครัวรายหนึ่ง เปิดเผยถึงประสบการณ์การเข้าไปไล่ล่าสัตว์ป่าทุกประเภทในป่ากับทีมงานเฉพาะกิจ "แนวหน้าออไนลน์" พรานทุกคนก่อนที่จะเข้าไปจะต้องมีเป้าหมายว่าวันนี้จะเข้าไปล่าสัตว์อะไรและการเข้าไปในแต่ละครั้งจะต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 วันตามแต่โอกาส
อีกทั้งต้องรู้ด้วยว่าสัตว์ป่าประเภทใดมักอาศัยหากินอยู่ในที่ใด จะออกมาหากินในตอนไหน เมื่อรู้แล้วจึงจะเข้าไป โดยพุ่งเป้าไปที่โป่งที่สัตว์ป่าจะออกมาหากิน จากนั้นก็จะทำห้างไว้บนต้นไม้สูงจากพื้นประมาณ 5-6 เมตรหรือตามความเหมาะ โดยในช่วงกลางคืนพรานจะนั่งอยู่บนห้างเฝ้ารอจนกว่าจะมีสัตว์ออกมาหากินที่โป่งในระยะห่างกันประมาณ 15-20 เมตรเมื่อพบจึงลงมือยิง
"ที่เราทำห้างอยุ่บนต้นไม้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ได้กลิ่นคน เนื่องจากกลิ่นคนนั้นจะแรง เมื่อนั่งอยู่บนห้างลมก็จะพัดกลิ่นคนไปในระดับที่สูงซึ่งจะทำให้สัตว์ไม่ได้กลิ่น เพราะถ้ามันได้กลิ่นคนมันก็จะหนีทันที"
นายพรานคนเดียวกันยังบอกด้วยว่า เสือดำที่เจ้าสัวเปรมชัย ไล่ล่านั้น เชื่อว่าคนที่พาไปล่าจะต้องรู้แหล่งที่อาศัยหากินของเสือ และคงใช้วิธีไล่ล่าในลักษณะเดียวกัน ส่วนการใช้อาวุธปืนนั้นตนมั่นใจว่าจะต้องใช้ปืนลูกซองเบอร์ 9 (1 ปลอกกระสุนมีลูกปรายกลม 9 เม็ด) เพราะจะมีความแม่นยำมากกว่าถ้ายิงในระยะหวังผล 15-20 เมตร
ด้านแหลงข่าวผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนและยุทธวิธีรายหนึ่งเผยกับทีมงานเฉพาะกิจ "แนวหน้าออนไลน์" ในเรื่องเดียวกันว่า เสือดำนั้นมีขนาดลำตัวยาวประมาณ 80 ซม.-1 เมตร เล็กกว่าเสือโคร่งที่ลำตัวยาวเฉลี่ย 150-180 ซม. เสือเป็นสัตว์ที่ออกหากินในเวลากลางคืนและมักอยู่ในเส้นทางที่มีสัตว์ที่เป็นอาหารอาศัยอยู่ หรือเรียกว่า "ด่านสัตว์"
นอกจากนี้ เสือยังเป็นสัตว์ที่มีประสาทสัมผัสว่องไวมาก ชนิดที่ถ้าเห็นสัตว์เลี้ยงหน้าตาคล้ายๆ กันอย่างแมวว่าว่องไวแล้ว เสือนั้นว่องไวยิ่งกว่าหลายเท่า ถ้าไม่ใช่มืออาชีพนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ในการจะล่าได้สักตัวหนึ่ง
ทั้งนี้ เพราะการเข้าไปล่าสัตว์นั้นต้องศึกษาก่อนว่าสัตว์ที่จะล่านั้นกินอะไร แหล่งอาหารอยู่ตรงไหน หรือดูพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำเพราะสัตว์ทุกตัวต้องมากินน้ำ หรือไปดักซุ่มตามโป่ง ที่หมายถึงพื้นดินที่มีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งที่สัตว์ต่างๆ ชุกชุม เมื่อสัตว์กินพืชมาหาอาหารที่โป่ง ก็มีโอกาสที่พรานจะได้พบกับเสือที่มาล่าสัตว์กินพืชเป็นอาหาร หรือดูจากมูลสัตว์ ว่าเป็นตัวอะไรมาถ่ายไว้ พรานก็จะคาดเดาไว้ว่าสัตว์ที่ต้องการล่าน่าจะอยู่ในละแวกเดียวกัน รวมถึงการแกะรอย นั้นต้องใช้เวลาเฉลี่ย 1 สัปดาห์ หากพบสัตว์ที่ต้องการเร็วกว่านั้นถือว่าโชคดีมาก
ปืนลูกซองและการแต่งเพื่อบีบวงกระสุนไม่ให้กระจาย
ที่มา : https://www.range365.com/four-things-you-get-wrong-about-chokes
เขากล่าวต่อว่า เสือดำตัวที่ถูกทีมนายเปรมชัย ยิง จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน ภาค 7 เบื้องต้นพบว่า เสือดำ ตัวที่ถูกทีมนักล่าเจ้าสัวเปรมชัย ยิงนั้นมีทั้งหมด 5 จุดด้วยกัน ดังนั้น ตนจึงสันนิษฐานได้ว่าคนยิงจะต้องใช้อาวุปืนลูกซองเบอร์ 9 ยิงอย่างแน่นอน ประกอบกับการบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมที่บอกว่า ก่อนเข้าไปจับกุมได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัดและเสียงดังมาก
"การยิงเสือดำในป่าทุ่งใหญ่ครั้งนี้ ผมสันนิษฐานว่าจะต้องยิงด้วยปืนลูกซองโดยใช้เบอร์ 9 ยิง แต่กระสุนไปโดน 5 นัดส่วนอีก 4 นัดพลาด เพราะถ้าจะยิงด้วยปืนไรเฟิลคงเป็นไปไม่ได้ แม้ปืนไรเฟิลจะยิ่งได้ในระยะไกลก็ตาม แต่เสียงมันจะไม่ดังจนป่าแตกเหมือนปืนลูกซอง อีกทั้งถ้ายิงด้วยปืนไรเฟิลก็จะต้องเข้านัดเดียวและการที่จะมายิงซ้ำอีก 4 นัดนั้นคงเป็นไปไม่ได้" เขากล่าว
พร้อมกล่าวต่อว่า ส่วนการล่าเสือดำของนายเปรมชัย นั้นตนเชื่อว่าคนที่นำเข้าไปล่าคือพราน เพราะพรานจะต้องรู้แหล่งที่อยู่ของเสืออย่างดี และต้องมีความชำนาญป่าทุ่งใหญ่อยู่พอสมควร ไม่เช่นนั้นคงจะไม่สามารถเข้าไปใล่ล่าเสือดำได้ เนื่องจากเสือดำนั้นมีความปราดเปรี่ยวว่องไว้มาก ดังนั้น การล่าเสือดำนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเป็นป่าในทุ่งใหญ่นเรศวรด้วยแล้วมันยากมาก อีกทั้งคนที่พาไปล่าจะต้องมีความชำนาญป่ามาก และผมเชื่อว่าเสือดำตัวที่ถูกยิงคงไม่ได้ถูกยิงอยู่ในบริเวณจุดที่ตั้งแคมป์ของเจ้าสัวอย่างแน่นอน เพราะถ้ายิงในจุดที่ตั้งแคมป์เสวือดำตัวนี้จะต้องเชื่องคุ้นเคยกับมนุษย์ หรือไม่ก็ชะตาของมันขาดจริงๆ ที่หลงเข้ามาให้เขายิงจนถึงที่
เขาเชื่อว่าเสือดำตัวนี้จะต้องถูกยิงห่างจากจุดที่ตั้งแคมป์ของนายเปรมชัย ไปประมาณ 1-2 กิโลเมตร โดยใช้วิธีการนั่งห้างแล้วตั้งเป้าเล็งไว้พอเสือมาจึงลงมือเหนี่ยวไกยิงในระยะห่างประมาณ 15-20 เมตรและคงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการยิงในระหว่างมีการลาดตระเวนไล่ล่า เพราะถ้าทำแบบนั้นก็จะไม่มีทางพบเสือได้ เพราะการไล่ล่าสัตว์ป่าตามปกติของนายพรานทั่วไปถ้ามีลมพัดไปข้างหน้าเขาจะไม่ไปล่าเด็ดขาด เพราะลมจะพัดเอากลิ่นตัวมนุษย์ไปก่อนทำให้สัตว์รู้ตัวเผ่นหนีไปก่อนได้
"เสือที่ถูกยิงตัวนี้ ผมเชื่อว่าจะต้องถูกยิงจากที่สูงคือบนห้างจากมุมสูงลงมาด้านล่าง 30 องศา อย่างกรณีของนายเปรมชัยนี้ผมคิดว่าเป็นปืนลูกซองโดยใช้ลูกเบอร์ 9 เพราะเบอร์นี้ใช้ยิงสัตว์ใหญ่ เช่น หมูป่า กวาง เสือ และผลการชันสูตรของเจ้าหน้าที่ก็พบว่าเข้าตัว 5 เม็ด ส่วนอีก 4 เม็ดออกไปจากระยะยิง ผมเดาว่าระยะยิงของเขาอยู่ที่ 15-20 เมตร ถ้าเกินกว่านี้กลุ่มกระสุนมันจะบาน ผมดูแล้วน่าจะใช้ลูกซองแฝด แต่ไม่ได้ใส่ Full Choke เพื่อบังคับไม่ให้กลุ่มกระสุนกระจาย"
เขากล่าวต่อว่า "แม้กระทั่งการยิงก็ต้องใช้ความชำนาญมากเพราะเป็นการยิงเป้าเคลื่อนที่ ผู้ยิงต้องคุ้นเคยกับการใช้อาวุธปืนอย่างดี เช่น เป้าห่างจากคนยิง 10 เมตร ถ้าเดินมาหาในแนวตรงอันนี้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเดินไปทางซ้ายหรือขวาผู้ยิงก็ต้องส่องตาม ตัวผู้ยิงต้องนิ่งแม้กระทั่งลมหายใจ การหายใจในขณะยิงก็ต้องรู้หลัก หรือหากเป็นปืนไรเฟิล ซุ่มยิงระยะไกลต้องคำนวณกระสุนตก-วัดแรงลมเป็น ซึ่งยากกว่าการยิงด้วยปืนลูกซอง แต่ไม่ว่าจะเป็นลูกซองหรือไรเฟิลต้องจบในนัดเดียว ถ้านัดแรกเหยื่อไม่ตายก็มักจะหนีไปได้อย่างรวดเร็วและตามยาก"
ส่วนเสื้อแจ็คเก็ตที่นายเปรมชัย สวมใส และปืนไรเฟิลนั้น แหล่งข่าวรายนี้ระบุว่า เสื้อที่เปรมชัยใส่อยู่ไม่เชิงเป็นแจ็คเก็ตล่าสัตว์โดยตรง เพราะหากเป็นเสื้อแจ็คเก็ตสำหรับล่าสัตว์โดยเฉพาะ (Hunter Jacket) จะต้องมีกระเป๋าติดอยู่ที่เสื้อ ส่วนเสื้อแจ็คเก็ตที่เปรมชัยใส่นั้นเป็นแจ็คเก็ตกันหนาวธรรมดาสำหรับใส่เดินป่า หรือใส่ยิงปืนทั่วๆ ไปก็ได้แต่จะสวมใส่คู่กับกระเป๋าคาดเอว ส่วนปืนไรเฟิลนั้นต้องบอกว่าไม่รวยจริงมีไม่ได้ เนื่องจากหากเป็นปืนถูกกฎหมายราคาจะตกอยู่ที่กระบอกละหลักแสนบาท และในประเทศไทยมีสนามให้ลองยิงเพียงไม่กี่แห่ง
เขากล่าวสสรุปว่า สาเหตุที่สัตว์หายากหลายชนิดตกเป็นเป้าในการล่าของมนุษย์หลักๆ คือ นำชิ้นส่วนไปทำเครื่องรางของขลัง อาทิ กรณีของเสือนั้นต้องเป็นเสือตายโหง นำมาทำตะกรุด ด้วยเชื่อว่าจะช่วยขับไล่ภูติผีปีศาจอาคมศาสตร์มืดทั้งหลาย หรือนำหนังเสือ ไปพาดเก้าอี้นั่ง อันมีนัยถึงอำนาจบารมี เช่นเดียวกับงาช้าง-เขากวางหัก นอกจากนี้ยังมีเลียงผา ซึ่งบางชนชาติมีความเชื่อว่ากระดูกสามารถนำไปทำเป็นยาโดยการเคี่ยวให้เป็นน้ำมัน ส่วนเนื้อเอาไปทำเป็นอาหารป่า
"ปัจจุบันคนทำอาชีพนายพรานก็ยังมีเยอะ ทำอาชีพหาของป่า บางคนก็รับงานมาว่าคนจ้างอยากได้อะไร เนื่องจากสังคมมันเปลี่ยนไปในทางวัตถุเยอะ ก็ทำงานนี้เพราะเงินมันดี" แหล่งข่าวรายนี้ กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี