ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นที่สังคมสนใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้นข่าวการจับกุมคณะบุคคลที่เข้าไปลักลอบล่าสัตว์ในพื้นที่ทุ่งใหญ่นเรศวร จ.กาญจนบุรี ซึ่งมี เปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็น 1 ในจำนวนผู้ต้องหาทั้งหมด 4 คน ด้วย เพราะ บ.อิตาเลียนไทย เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างระดับ “บิ๊กเนม” จึงถูกสังคมเฝ้ามองว่าท้ายที่สุดคำกล่าว “ทุกคนเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย” จะเป็นความจริงหรือไม่? เพราะในสังคมไทยเป็นที่รับรู้กันว่าผู้มี “เงินทอง-อำนาจ-บารมี” อะไรที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นได้
อีกสาเหตุที่เรื่องนี้ได้รับความสนใจคงเป็นเพราะ “ผู้กระทำผิดเป็นผู้เพียบพร้อม” ทั้งฐานะและการศึกษา “ไม่มีความจำเป็นต้องไปล่าสัตว์เพื่อยังชีพ” เฉกเช่นชาวบ้านรากหญ้าสามัญทั่วไป อีกทั้งมนุษย์นั้นยังถูกอบรมสั่งสอนให้ “มีเมตตา” พึงหลีกเลี่ยงเข่นฆ่าทำร้ายชีวิตอื่นๆ โดยเฉพาะเพื่อความสนุกสนาน จึงไม่น่าจะไปก่อเรื่องที่ทั้งผิดกฎหมายและสังคมประณามสาปแช่งขึ้นได้
แต่พฤติกรรมแบบนี้ในทาง “จิตวิทยา” มีคำตอบ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม ที่ปรึกษาศูนย์พัฒนาความสุขมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) อธิบายกับทีมงาน “แนวหน้า” ว่าค่านิยมการล่าสัตว์ในหมู่คนมั่งมีนั้นเป็นเรื่องของ “การอยากแสดงอำนาจ” เนื่องด้วยในอดีตนั้นเป็น “กีฬาของชนชั้นสูง” โดยเฉพาะสัตว์ที่มีรูปร่างและประวัติดุร้ายอย่าง “ช้าง-เสือ-สิงโต” หากใครสามารถล้มสัตว์นั้นลงได้ก็สามารถ“คุยโตโอ้อวด” ไปได้อีกนาน
อีกทั้งคนร่ำรวยมักมีค่านิยม “ต้องแตกต่าง” จากคนจนหรือคนชั้นกลาง ดร.วัลลภเล่าว่า มีครั้งหนึ่งเคยถูก “หัวเราะเยาะ” จากคนที่ร่ำรวยกว่าเพียงเพราะ “กินกล้วย” เนื่องด้วยมองว่า “กล้วยเป็นอาหารของคนจน” ต้องไปหากินเมนูราคาแพงๆ หรือ “ต้องไม่เรียนโรงเรียนวัด” แต่จะส่งบุตรหลานไปเรียนโรงเรียนนานาชาติ ส่วน “กิจกรรมยามว่าง” ต้องเที่ยวต่างประเทศ หรือบางกลุ่มก็นิยม “เข้าป่าล่าสัตว์” รวมถึง “การใช้อภิสิทธิ์” ที่คนทั่วไปทำไม่ได้
“เมืองไทยล่าสัตว์มันผิดกฎหมาย แต่เดี๋ยวก็ยัดเงิน เดี๋ยวก็บอกว่ารู้จักหัวหน้าอุทยาน รู้จักหัวหน้าตำรวจ ไม่แคร์คนอื่น แล้วก็เลยเบียดเบียน” นักจิตวิทยาคนดัง ให้ความเห็น
นั่นคือเรื่องของ “ความปรารถนาลึกๆ ที่ฝังในจิตของมนุษย์” และอาจแสดงออกมา “เมื่อบุคคลนั้นมีอำนาจพอที่จะทำ” แต่ตัวแปรเชิงอำนาจอีกประการหนึ่งคือ “เจ้าหน้าที่มีศักยภาพด้อยกว่าผู้กระทำผิด” ดังผลการศึกษาของ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่ระบุว่า ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าอนุรักษ์ถึง 443 แห่ง เนื้อที่ 66.3 ล้านไร่ ทว่าเมื่อคำนวณแล้ว “เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า 1 คน ต้องดูแลพื้นที่ถึง 2,083 ไร่” จึงยากที่จะดูแลได้ทั่วถึง
รวมถึง “อาวุธ” ที่ทราบกันมานานแล้วว่า “ทั้งเก่าทั้งขาด” ดังเรื่องเล่าจาก “วีรบุรุษทุ่งใหญ่ 2561” ผู้จับกุมเสี่ยเปรมชัยและพวก วิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก ที่มาปรากฏตัวในเวทีเสวนา “การจัดการสัตว์ป่าเมืองไทย กรณีทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก” เช้าวันที่ 9 ก.พ. 2561 ณ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (บางเขน) ว่า “พื้นที่ทุ่งใหญ่ฯ มีหน่วยพิทักษ์ป่า 25 หน่วย แต่มีปืนอยู่หน่วยละเพียง 2-3 กระบอก” เอาไว้เฝ้าหน่วย 1 กระบอก ออกลาดตระเวน 2 กระบอก และ 2 กระบอก ที่ว่ายิงออกบ้างไม่ออกบ้าง
“เคยมีลูกน้องถามผม บอกหัวหน้ามีเงินให้กู้ไปซื้อปืนไหม? ก็ไม่มีหรอกครับ ก็บอกไปว่าเป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์กรมป่าไม้หรือยัง? ก็เป็นการตอบแบบหยอกล้อกัน เราก็ไม่อยากให้ใครเป็นหนี้เป็นสิน” วิเชียร ระบุ
ตัวแปรเชิงอำนาจตัวสุดท้ายคือ “อำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจ” คนกลุ่มหนึ่งฐานะยากจนต้องทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของตนเองและครอบครัว แต่คนอีกกลุ่มรวยล้นฟ้าแถมยังมีความต้องการไม่จบสิ้น คนกลุ่มหลังจึงสามารถ “กดดันโน้มน้าว” ให้คนกลุ่มแรกออกไป “แสวงหา” สิ่งนั้นมาบำรุงบำเรอความอยากของตน แม้จะหมิ่นเหม่ต่อกฎหมายและศีลธรรมก็ตาม อาทิ เป็นคนนำทางพาไปล่าสัตว์ หรือถางป่าปลูกพืชเชิงเดี่ยวส่งขายทุนใหญ่
เรื่องนี้ ธีรภัทร ประยูรสิทธิ รองประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า หลังรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามแนวชายป่า ทราบปัญหาเรื่อง “คุณภาพชีวิต” มาพอสมควร จึงมีแผนทำ “แนวป่ากันชน” (Buffer Zone) เพื่อไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับป่าธรรมชาติ รวมถึงมีข้อเสนอว่าด้วยการปลูกไม้หวงห้ามในพื้นที่ของตนเองซึ่งมีเอกสารสิทธิถูกต้องนั้นสามารถตัดไปใช้ประโยชน์ได้ แต่หากตรวจพบว่าไปนำไม้ออกมาจากป่าธรรมชาติจะมีโทษหนัก ก็น่าจะช่วยให้ประชาชนชายป่ามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
“เรามีโครงการที่จะเข้าไปดูในพื้นที่ที่ถูกกฎหมาย เช่นที่ ส.ป.ก. (สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) ซึ่งกรมป่าไม้ยกให้กระทรวงเกษตรฯไปดูแล 30-40 ล้านไร่ พื้นที่เหล่านี้อยู่รอบป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ เอาศาสตร์พระราชา เอาเรื่องอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิชาการเข้าไป เพื่อให้เขาอยู่กับที่ไม่ไปไหน ให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องบุกป่า ไม่ต้องพาคนเข้าไปล่าสัตว์” ธีรภัทร กล่าวทิ้งท้าย
คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่าบทสรุปของเรื่องนี้คือ “ปัจจัยเชิงอำนาจ” ทั้งความรู้สึกในใจคนใหญ่คนโตบางรายที่อยากแสดงความเหนือกว่ากับคนอื่นหรือชีวิตอื่น อำนาจการต่อสู้ของเจ้าหน้าที่ที่ด้อยกว่าเพราะในขณะที่อาวุธของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่ามีเพียงปืนลูกซองเก่าๆ ฝั่งผู้กระทำผิด
กลับมีทั้งปืนไรเฟิลติดกล้องเล็ง หรืออาวุธสงครามอานุภาพสูง และความพรั่งพร้อมทางเศรษฐกิจ ทำให้คนร่ำรวยสามารถใช้งานคนฐานะลำบากยากจนไปทำเรื่องผิดๆ ได้
นี่คือ “รากของปัญหา” ที่ต้องแก้..แต่จะทำอย่างไร?
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี