เรามักพบ “ขอทาน” ในกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะย่านธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ กันจนชินตา แต่นี่คือคือภัยเงียบที่จะสร้างปัญหาแก่สังคมโดยเฉพาะประเด็นการค้ามนุษย์ เป็นการฆ่าเด็กทั้งเป็น เป็นการสร้างบาปหนัก อย่าทำดีแบบมักง่าย ซึ่งรายได้ขอทานสูงมาก “แทบไม่น่าเชื่อ มีขอทานอยู่รายหนึ่งมีเงินสดติดตัวถึง 41,000 บาท” ทั้งนี้จากการตรวจสอบเงินสดของขอทานโดยเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ขอทานรายดังกล่าวบอกว่า นี่คือผลจากการขอทานในรอบ 7 วันที่ผ่านมา
“คุณนที สรวาที เลขาธิการมูลนิธิอิสรชน บอกผมว่าเคยแกล้งทำตัวเป็นขอทานภายในเวลา 6 ชั่วโมง ได้เงินถึง 2,200 บาท นักข่าวคนหนึ่งก็เคยแสร้งนั่งขอทานทั้งที่แขนขาดีๆ ไม่เน่า ไม่ด้วน ก็ยังขอเงินได้ 216.5 บาท ในเวลา 3 ชั่วโมง ค่าเฉลี่ยของรายได้ของขอทานรายหนึ่งเป็นเงินประมาณ 2,000 - 5,000 บาทต่อวัน รายได้ต่ำสุดที่ได้คือ 500 บาท ขอทานที่มีรายได้สูง จะทำตัวให้สกปรกที่สุด น่าสงสารเวทนาเป็นที่สุด หาก (แสร้ง) ทำแผลให้เหวอะหวะ (โดยใช้ถุงน่อง) หรือแสร้งแสร้งทำแขนหรือขาด้วยด้วยแล้ว ยิ่งมีรายได้สูงขึ้น”
หากสมมติว่ามีขอทานเฉพาะในกรุงเทพมหานครประมาณ 5,000 รายๆ หนึ่งมีรายได้ประมาณ 1,000 บาทต่อวัน ก็จะมีรายได้รวม 5,000,000 บาทต่อวัน หรือปีละ 1,825 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีกรณีที่น่าสนใจก็คือ ลุงเอี่ยม ขอทานพิการในวัดไร่ขิง ที่ปรากฏว่าแต่ละปีบริจาคเงินให้วัด 1-4 แสนบาท แต่ปีล่าสุดบริจาคให้ถึง 1 ล้านบาท และตนเองยังมีเงินในบัญชีธนาคารหลายแสนบาท เป็นต้น
“ลุงเอี่ยม” นายเอี่ยม คำภิรานนท์ หนุ่มใหญ่ร่างพิการที่เป็นขอทานในพื้นที่วัดไร่ขิง จ.นครปฐม ผู้นำเงินที่ได้รับจากการบริจาคถวายให้กับวัดเป็นประจำ จนถูกเรียกว่า “ขอทานใจบุญ” และมีชื่อเสียงโด่งดังมาก
ภาพประกอบ : http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000036150
เมื่อเทียบกับรายได้ของคนขับแท็กซี่ โดยเฉลี่ยก็ได้ประมาณ 500 บาท มอเตอร์ไซค์รับจ้างก็ได้ประมาณ 500 บาท แม่ค้าหาบเร่ที่ผมพบบริเวณถนนอโศก ก็ได้เงินราววันละ 500 บาทเช่นกัน ค่าแรงขั้นต่ำของคนไทยก็ประมาณ 300 บาท (ตอนรัฐบาลจะขึ้นให้คนงาน บางคนยังหมั่นไส้หาว่าสูงเกินไปเสียอีก) ลูกจ้างชั่วคราวตามหน่วยราชการ ก็มีรายได้ต่อวันต่ำกว่าขอทานเสียอีก แต่ไม่แน่ว่าคนเหล่านี้นี่เองที่เป็นผู้ใจบุญให้เงินขอทานบ้างก็ได้
จุดขายและทำเลขอทาน..หลายคนคงเคยเห็นคลิปขอทานขาด้วนที่เผชิญเหตุนักเรียนตีกัน ขอทานตกใจเลย “งอกขา” ออกวิ่งบ้าง จนเป็นที่ตลกขบขันกันทั่ว นี่คือการใช้ความน่าสงสาร สมเพช สกปรก น่ารังเกียจมาเป็นจุดขาย บางคนลงทุนคืบคลานไปตามพื้นเปียกแฉะ บ้างก็ใช้ลูกตื้อ ฯลฯ การกระทำอย่างนี้อาจเข้าข่ายการหลอกลวง การสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับสังคมอีกต่างหาก หากทางราชการจะนำขอทานเหล่านี้ไปช่วยเหลือ เข้าสถานสงเคราะห์ เขาก็มักไม่ยอมไป เพราะมีรายได้ดีที่อยู่ในพื้นที่เหล่านี้
ขอทานกับสังคมไทย เป็นภาพที่พบได้ทั่วไป
ภาพประกอบ : hiveminer.com
ทำเลที่มักมีขอทานได้แก่ย่านแหล่งการค้าใจกลางเมือง แหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ได้แก่ สีลม ใกล้ธนิยะ พัฒน์พงษ์ ย่านสุรศักดิ์ อาจแทบไม่พบเพราะไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวหรือไม่มีใครมาในยามค่ำคืนมากนัก อีกบริเวณหนึ่งก็คือสยาม ชิดลม เพลินจิต นานา อโศก เพราะมีนักท่องเที่ยวเดินเหินตลอดวัน นอกจากนี้ยังมีตามตลาดสดทุกแห่ง เป็นแหล่งที่มีขอทานชุกชุม
“กรณีนี้ก็คล้ายๆ กับอินเดีย ที่จะมีขอทานเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวเป็นหลัก ในเมืองอื่นๆ แทบหาไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นในแต่ละที่ยังมีขบวนการคอยจัดพามาวางไว้ แม้แต่ยามในสถานที่สาธารณะบางแห่งก็ยังได้รับค่าจ้างอำนวยความสะดวกให้ แม่ค้าก็อาจได้รับค่าจ้างให้คอยดูต้นทางให้ยามที่เจ้าหน้าที่เดินมาตรวจจับขอทาน เป็นต้น”
หากถามว่าขอทานมีกี่ประเภท? คำตอบคือคนนั่งขอทานก็เป็นคนกลุ่มหนึ่ง วนิพกที่แลกเงินทานจากการร้องรำทำเพลงก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ส่วนคนเร่ร่อนหรือผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ในที่นี้เราคงมุ่งพิจารณาเฉพาะกลุ่มขอทานเป็นเบื้องต้นก่อน จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำงานเกี่ยวข้องกับขอทาน แต่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยชื่อเล่าว่า “ขอทานต่างชาติโดยเฉพาะชาวกัมพูชา มีมากกว่าขอทานที่เป็นคนไทย” โดยมีสัดส่วน 60% ส่วนขอทานไทยมีสัดส่วน 40% ส่วนขอทานไทยที่เคยพบ ตามข่าวนั้นมีถึงขนาดรวมกลุ่มเป็นหมู่บ้านขอทานก็ยังเคยมี
“ขอทานกัมพูชานั้นมีการรวมกลุ่มเป็นหมู่บ้านเช่นกัน ดังที่เคยกวาดล้างได้แถวชลบุรี ส่วนแถวสุขสวัสดิ์ ประตูน้ำ ก็มีหมู่บ้านหรือเป็นกลุ่มบ้านเช่าที่ขอทานกัมพูชาเช่าอยู่รวมกัน สามล้อหรือแท็กซี่ไทยก็นิยมอำนวยความสะดวกรับออกมาขอทานที่แถวหน้าโรงแรมอินทรา โดยได้รับค่าจ้างถึง 100 บาท แต่หากเรียกตามมิเตอร์ อาจถูกกว่านั้นเสียอีก ตกลงว่าคนไทยเราบางส่วนนี่แหละที่สนับสนุนขอทานกัมพูชา”
คำถามที่น่าสนใจ “ทำไมจึงมีขอทานกัมพูชาในไทย?” ผมไปทำงานในโครงการที่ปรึกษากระทรวงการคลัง กัมพูชา ไปบรรยายอยู่หลายตลบ ไปสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยทั่วกรุงพนมเปญ พบขอทานน้อยมาก ยิ่งเมื่อไปทำงานอยู่กระทรวงการคลังที่เวียดนาม ซึ่งต้องไปสำรวจ บรรยายและเดินตลาดในฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ และนครอื่นๆ ของเวียดนาม ก็แทบไม่เคยพบ
“S-21 ตวลสเลง” (S-21 Tuol Sleng) ตั้งอยู่ ณ กรุงพนมเปญ เป็นค่ายกักกันภายใต้การปกครองของเขมรแดง (ปี 2518-2522) ที่นี่มีชาวกัมพูชาถูกจองจำและถูกทรมานจนตายเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่บอกเล่าประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชาในยุคสมัยของเขมรแดง อย่างไรก็ตามแม้สิ้นสุดการปกครองของเขมรแดง กัมพูชาก็ยังแตกเป็น 3 ฝ่ายบ้าง 4 ฝ่ายบ้างไปอีกนับสิบปี กว่าทุกอย่างจะสงบจริงๆ ก็ต้องรอจนถึงปี 2541
ภาพประกอบ : https://www.atlasobscura.com/places/tuol-seng
ทำไมพวกเขาจึงมาขอทานเมืองไทย ไม่ขอทานในประเทศของตนเอง? ก็มีข้อมูลว่า มีเด็กพิการในกัมพูชาเป็นจำนวนมากจากการเหยียบกับระเบิดที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศของเขา จึงมีการซื้อขายเด็กพิการในราคาตั้งแต่ 1,500 -3,000 บาท หรือสูงกว่าแล้วแต่ตกลงกัน นอกจากนี้ยังมีกรณีเช่าเด็ก โดยทำการจ่ายเงินให้กับพ่อแม่เด็กเป็นรายเดือนตั้งแต่ 1,000-2,000 บาท พร้อมทั้งตกลงระยะเวลากัน เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี จากนั้นจะลักลอบเข้ามาในประเทศไทยตามแนวชายแดน โดยอาจมีการจ่ายผลประโยชน์บางอย่างให้แก่คนไทย
“ที่กัมพูชาเขาไม่ยอมรับขอทานเพราะต่างตระหนักดีว่าต่างคนต่างรอดพ้นภาวะยากลำบากที่สุดจากสงครามกลางเมืองมาแล้ว ทุกคนรู้จักการเอาตัวรอดดี ไม่ดรามาแบบไทยๆ เขาจึงไม่ค่อยให้เงินขอทาน หรือพวกที่งอมืองอเท้า ไม่ทำงานช่วยตัวเองเท่าที่ควร ชาวกัมพูชาเขามักจะทำบุญกันอย่างถูกกาลเทศะ เช่น ถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ไปไหนก็จะแจกผ้าขาวม้า (กรอม้า) หรือผงชูรส (บีเจ็ง) ให้กับชาวบ้าน เป็นต้น”
ส่วนสาเหตุที่คนเราชอบให้เงินขอทาน ผมได้พบว่าชาวบ้านคนหนึ่งๆ จะทำบุญ ทำดีเพื่อสังคมปีละประมาณ 2.69% ของรายได้ของตน ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็น “โบสถ์โหล” ที่ออกแบบ-สร้างคล้ายๆ กันหมด) มากมายจากศรัทธาของประชาชน มีการทำบุญทำดีกับพระ แม่ชี วนิพก และขอทานตามตลาดสดกันมากมาย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาฝันร้ายเมื่อคืน เข้านี้เลยมาทำบุญให้ตนเองสบายใจ หรือ “ซวย” มานาน อยากได้มีโอกาสสบายๆ บ้าง เป็นต้น
ขณะที่สถานีวิทยุเสียงอเมริกา (VOA) เคยเผยแพร่ผลการศึกษาว่า สมองมนุษย์จะปลอดโปร่งขึ้นเมื่อได้เป็นผู้ให้ และระบบเส้นประสาทที่เรียกว่า Vagus คือสาเหตุที่ทำให้เราอยากช่วยเหลือผู้อื่น อยากให้และอยากเสียสละ ทั้งนี้เป็นเพราะมีสารเคมีชนิดหนึ่งคือ Oxytocin อยู่ในเส้นประสาท หากคนเราได้รับสารนี้เป็นจำนวนมาก ก็จะกลายเป็นคนใจป้ำ บริจาคกันยกใหญ่เลย แต่เราก็ควรมีวิจารณญาณในการบริจาคเช่นกัน
อย่างไรก็ต้องอยากจะย้ำว่า “ต้องช่วยกันแก้ปัญหาขอทาน” ท่านทราบหรือไม่ว่าการให้เงินเพื่อความสบายใจของเรา โดยเราไม่รับผิดชอบชั่วดีนั้น ทำให้เกิดขบวนการค้ามนุษย์กันขนานใหญ่ ฆ่าเด็กทั้งเป็น ที่ผ่านมาเคยจับเด็กมาทำให้พิการก็มีมาแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ซื้อเด็กพิการมาจากกัมพูชา เด็กเหล่านี้โตในไทย ร้องเพลงชาติได้จับใจกว่าเด็กไทยเสียอีก พอโตหน่อยก็ขายดอกไม้ ขัดรองเท้า ขายบริการทางเพศ
หน่วยงานภาครัฐที่ได้รับจัดสรรงบประมาณมากที่สุด ประจำปีงบประมาณ 2561
ภาพประกอบ : https://thaipublica.org/2017/06/budgeting-prayuth-government-2561/
“หากพบเห็นขอทาน เราควรแจ้ง 1300 ของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ซึ่งทางราชการจะส่งไปคัดกรอง ในกรณีคนไทยก็ไปสถานแรกรับคนไร้ที่พึ่งที่นนทบุรี ในอนาคตควรจัดสถานแรกรับขึ้นหลายแห่งเพื่อการดูแลรักษาให้ได้มากกว่านี้ ส่วนคนกัมพูชา ก็ผลักดันออกนอกประเทศต่อไป ชาวกัมพูชาหลายคนถูกจับซ้ำซาก 10-20 ครั้ง เปลี่ยนชื่อตลอด ต่อไปคงต้องสแกนนิ้วมือกันต่อไป นอกจากนี้ยังควรส่งเสริมอาชีพหาบเร่ (ไม่เอาแผงลอย) ใส่งอบ จัดที่ทางให้ขาย ให้เป็นเอกลักษณ์ไทย แทนการเที่ยวขอทาน”
สุดท้ายในเชิงนโยบาย ท่านทราบหรือไม่ งบประมาณแผ่นดินของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้เงินปีละ 10,000 ล้านบาท ในขณะที่ปัญหาสังคมมีหลากหลายเหลือเกิน จริงๆ แล้วรัฐบาลควรเจียดเงินงบกลาโหม งบลับ งบไม่จำเป็นสารพัดมาช่วยแก้ปัญหาสังคมได้ ตั้งแต่การจับ ส่งสถานสงเคราะห์ ฝึกอาชีพ ฯลฯ สังคมก็จะดีกว่านี้
อย่าลืม “ให้ทานถูกวิธี ลดวิถีการขอทาน”!!!
โสภณ พรโชคชัย
ประธานกรรมการบริหาร
ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี