"เศรษฐกิจไม่ดี" , "ขายของได้น้อยลง" , "หาเงินยากขึ้น" คือคำพูดที่ดังเซ็งแซ่ไปทั่วประเทศไทย ณ ขณะนี้ ไม่ว่าในเมืองหรือชนบท ไม่ว่าในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด และยังสะท้อนผ่านโพลทุกสำนักตลอดเวลา 3 ปีกว่าที่ประเทศไทยมีรัฐบาลทหารในนาม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าแม้ความเป็นเผด็จการจะทำให้เกิดความสงบไม่มีปัญหาการเมืองวุ่นวาย แต่เรื่องเศรษฐกิจปากท้อง “สอบตก” แม้รัฐบาลจะนำตัวเลขส่งออก ตัวเลขการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มาชี้ว่าเศรษฐกิจดีขึ้นก็ตาม
ซึ่งที่ผ่านมาก็มีนักการเมืองบ้าง นักวิชาการบ้าง ต่างกล่าวตรงกันว่า “นโยบายเศรษฐกิจของ คสช. ไม่ทำให้เกิดการกระจายรายได้ลงสู่ฐานราก” ผู้ได้รับประโยชน์จริงๆ มีเพียงกลุ่มทุนใหญ่จำนวนน้อยเท่านั้น รวมถึงล่าสุด 9 มี.ค. 2561 ที่งานเสวนา “ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมทางสังคม และการผูกขาดทางเศรษฐกิจ” จัดโดยโครงการสร้างคนดี มองการณ์ไกล ไทยรุ่งเรือง ของมูลนิธิหมอเสม พริ้งพวงแก้ว เกียรติ สิทธิอมร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ก็วิเคราะห์ไว้ในแนวทางเดียวกัน ตั้งแต่
เกียรติ สิทธิอมร
1.ไม่มีนโยบายช่วยเหลือเกษตรกร เกษตรกรนั้นถือเป็น "กลุ่มเปราะบางทางสังคม" และประเทศไทยนั้นมีประชากรกลุ่มนี้จำนวนมาก แต่ไม่พบว่ารัฐบาล คสช. มีนโยบายที่ทำให้เกษตรกรมีรายได้พอยังชีพไม่ลำบาก ส่วนที่รัฐบาลพยายามบอกครั้งแล้วครั้งเล่าว่า "ทำอะไรไม่ได้เพราะราคาผลผลิตตกต่ำ" เรื่องนี้คงต้องย้อนถามว่า "ทำไมตกแต่กับราคารับซื้อจากเกษตรกร?" เพราะผู้บริโภคก็ยังซื้อสินค้าเกษตรในราคาสูงเหมือนเดิม
เกียรติ ยกตัวอย่าง “ข้าวถุง 5 กิโลกรัม” ประชาชนไปซื้อมาบริโภคอยู่ที่ถุงละ 150-200 บาท เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30-40 บาท แต่ชาวนานั้นได้เงินจากการขายข้าวเฉลี่ยกิโลกรัมละ 5-6 บาทเท่านั้น เช่นเดียวกับ “มันสำปะหลัง” ราคาส่งออกไปยังประเทศจีน อยู่ที่กิโลกรัมละ 10 บาท แต่เกษตรกรชาวไร่มันได้เพียงกิโลกรัมละ 1.10 บาทเท่านั้น น้อยกว่าราคากลางที่รัฐบาลประกาศไว้ที่กิโลกรัมละ 2.50 บาทเสียอีก
“วันนี้เกษตรหลัก 5 รายการ ราคาตกหมด ข้าว ข้าวโพด มัน ยาง ปาล์ม แต่ตกเพราะการบริหารจัดการ ตกเพราะไม่มีนโยบายที่เป็นรูปธรรมยั่งยืน ราคาตกในประเทศไม่ได้ตกในต่างประเทศ และตกเฉพาะกับเกษตรกรไม่ได้ตกที่ผู้บริโภค ผู้บริโภคยังซื้อข้าวแพง ยังซื้อผลผลิตจากมันในราคาปกติ แต่ถึงมือเกษตรกรน้อยมาก” เกียรติ กล่าว
ในปี 2559 แรงงานนอกระบบของไทยเป็นเกษตรกรมากถึง 11 ล้านคน
ที่มา : การสำรวจแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2559 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ
2.แก้ปัญหาหนึ่ง..แต่สร้างอีกปัญหาหนึ่ง เกียรติ ยกตัวอย่าง “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ที่รัฐบาล คสช. รับลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยแล้วคัดกรองจนเหลือราว 11 ล้านคน โดยรัฐบาลจะ “เติมเงิน” ลงในบัตรให้ผู้มีรายได้น้อยนำไปซื้อปัจจัยยังชีพ เช่น วัตถุดิบประกอบอาหาร แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ “ใช้บัตรได้แต่กับร้านธงฟ้าเท่านั้น” ซึ่งนอกจากจะ “กระทบร้านค้าท้องถิ่น-ตลาดชุมชน” ที่ไม่สามารถรับบัตรดังกล่าวทำให้ยอดจำหน่ายสินค้าลดลงแล้ว ผู้มีรายได้น้อยยังต้อง “เดินทางไกล” เพื่อนำบัตรไปใช้ที่ร้านธงฟ้า บางคนต้องไปไกลถึง “100 กิโลเมตร” ก็มี
3."ประชารัฐ" เพื่อใคร? ประชารัฐเป็นยุทธศาสตร์ที่รัฐบาล คสช. นำมาโชว์อย่างภูมิใจว่าประสบความสำเร็จ แต่อีกด้านหนึ่งพบว่าโครงการต่างๆ ตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวทั่วประเทศ "ร้อยละ 70 ของกรรมการเป็นคนจากกลุ่มทุน" ร้อยละ 25 เป็นบุคลากรภาครัฐ "มีเพียงร้อยละ 5 เท่านั้นที่เป็นผู้ประกอบการระดับท้องถิ่น" นอกจากนี้หลายโครงการยังใช้ "วิธีการพิเศษ" ด้วยการงดเว้นการปฏิบัติตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง ด้วยอ้างว่า “เพื่อความรวดเร็ว” ทว่าก็มีคำถามว่าหลายโครงการจำเป็นต้องเร่งมากขนาดนั้นจริงหรือ?
“ยกเว้นการใช้ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง ไปเจรจากับเจ้าไหนก็ให้เขาเลย ไม่ต้องประมูล ไม่ต้องทำสิ่งที่ทำให้เกิดความโปร่งใส เพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด ไม่ต้องทำ ทำไม? มันต้องเร็วขนาดนั้นเลยหรือ? ปกติตามกฎหมายถ้าจะยกเว้นกรณีเร่งด่วนซึ่งถ้าไม่ทำโดยเร็วจะเกิดความเสียหาย ผมว่าโครงการนี้ไม่เข้าข่ายต้องทำให้จบใน 1-2 อาทิตย์แล้วจะเสียหายอย่างรุนแรง แต่โครงการประชารัฐหลายอันก็มียกเว้น” อดีต ส.ส. บัญชีรายชื่อ ปชป. กล่าว
ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
4."เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก" คาดหวังได้จริงหรือ? โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นโครงการดึงผู้ประกอบการ "10 อุตสาหกรรมยุค 4.0" เข้ามาลงทุนในพื้นที่ 3 จังหวัด "ฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-ระยอง" พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ปรับปรุงสนามบินอู่ตะเภา ขยายท่าเรือแหลมฉบัง รวมถึงสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินใกล้เคียงใน 3 จังหวัด “อู่ตะเภา (ระยอง)-สุวรรณภูมิ (สมุทรปราการ)-ดอนเมือง (กรุงเทพฯ)” โครงการนี้รัฐบาล คสช. คาดหวังว่าจะนำพาไทยไปสู่ความเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้
อย่างไรก็ตาม เกียรติ ตั้งข้อสังเกตกับ EEC ไว้หลายประการ อาทิ “2 มาตรฐานด้านภาษี” พื้นที่ EEC มีการกำหนดให้ชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในฐานะผู้เชี่ยวชาญได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ส่วนคนไทยที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องเดียวกันไม่ได้รับสิทธิดังกล่าว , “ไม่บังคับให้ทุนข้ามชาติถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับท้องถิ่น” เทียบกับรัฐบาลจีนที่บังคับเรื่องนี้อย่างจริงจังกับใครก็ตามที่จะไปเปิดโรงงานในเมืองจีน จ้างคนจีนเป็นแรงงาน ทำให้จีนสามารถก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มีใช้และส่งออกเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว
“ของไทยที่ผ่านมา 20 ปี ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ พวกนี้มาจากการลงทุนตรงของต่างชาติ แล้วที่เราได้เทคโนโลยีเป็นไปด้วยกระบวนการธรรมชาติ เราถึงใช้เวลา 20 ปีถึงจะเก่งขึ้นมาในบางสาขา แต่ยังไม่เก่งระดับสุดยอด ยังไม่เก่งระดับเป็นผู้ประกอบการ ดูจีนเป็นตัวอย่าง ถ้าไม่ให้ใช้เทคโนโลยีก็ไม่ให้เข้า แต่ของ EEC ไม่มีเงื่อนไขให้ถ่ายทอดเทคโนโลยี” เกียรติ ระบุ
"ยานยนต์-อิเล็กทรอนิกส์"2 อันดับแรกจาก 10 อันดับสินค้าส่งออกของไทย ประจำปี 2560
ที่มา : กระทรวงพาณิชย์
"บางโครงการไม่สอดคล้องกับพื้นที่" ใน 10 อุตสาหกรรมที่ส่งเสริมใน EEC รัฐบาล คสช. บอกว่าถ้าอุตสาหกรรมไหนไทยไม่มีสถาบันการศึกษาพร้อมในพื้นที่ ก็ให้สถาบันการศึกษาของค่างชาติเข้ามาตั้งทดแทน ทั้งที่บางอุตสาหกรรมไม่จำเป็นต้องอยู่ใน 3 จังหวัด EEC ก็ได้ แต่สามารถไปตั้งในจังหวัดอื่นๆ ที่มีสถาบันการศึกษาซึ่งมีความพร้อมตั้งอยู่
รวมถึงการขยายท่าเรือแหลมฉบังด้วยให้เหตุผลว่าเพื่อส่งออกสินค้าไปกลุ่มประเทศ CLMV ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา (พม่า) เวียดนาม ทั้งที่ 3 ใน 4 ประเทศนี้ติดกับไทย เหตุใดจึงไม่ใช้วิธีตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจชายแดน เพราะสามารถใช้รถบรรทุกขนส่งได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาขนส่งทางเรือ สะดวกและต้นทุนถูกกว่ามาก และหลายจังหวัดก็มีสถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพพร้อมจะสนับสนุนด้วย
10 อุตสาหกรรมที่ EEC สนับสนุน
ภาพประกอบ : ศูนย์ประสานงาน EEC
5.คอร์รัปชั่นยังมีและมากขึ้น ข้อนี้ได้รับการยืนยันโดยผลการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (UTCC) ที่เปิดเผยเมื่อเดือน ก.พ. 2561 ว่า "จำนวนเงินที่ต้องจ่ายใต้โต๊ะขยับเพิ่มขึ้น" ในโครงการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ จากปี 2558 อยู่ที่ร้อยละ 1-15 แต่ในปี 2560 ขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 5-15 ซึ่งแม้ว่าตัวเลขนี้จะยังไม่เลวร้ายที่สุดเมื่อเทียบกับสมัยรัฐบาลช่วงปี 2554-2556 ที่จำนวนเงินจ่ายใต้โต๊ะอยู่ที่ร้อยละ 25-30 และลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1-15 เมื่อมีการรัฐประหารเปลี่ยนรัฐบาลในปี 2557 แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผ่านไป 3 ปี จำนวนเงินใต้โต๊ะในรัฐบาลปัจจุบันเพิ่มขึ้น
“ขั้นต่ำเพิ่มขึ้นมา 5 เปอร์เซ็นต์ ตรงนี้ไม่ดี ประเด็นคือรัฐบาลทำอะไร? ไม่เห็นมีปฏิกิริยาอะไรออกมาเลย มีแต่บอกว่าอย่ามาถามเรื่องนี้ เราทำเต็มที่แล้ว อยากจะกลับไปเป็นแบบเดิมหรือเปล่า? ก็เรียนว่าถ้าโกงกันมากความเหลื่อมล้ำก็ยิ่งสูง” อดีต ส.ส. บัญชีรายชื่อ ปชป. กล่าว
ไทยเป็น 1 ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงในลำดับต้นๆ ของโลก
ภาพประกอบ : สถาบันการเงินเครดิส สวิส (Credit Suisse) สวิตเซอร์แลนด์
เกียรติ ฝากทิ้งท้ายว่า สิ่งที่รัฐบาล คสช. ต้องทำหากอยากแก้ปัญหาจริงๆ คือ 1.หยุดนโยบายแบบปูพรม เพราะเป็นการใช้จ่ายงบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพ แต่ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละพื้นที่ซึ่งจะมีปัญหาแตกต่างกันไป 2.อย่าใช้มาตรการพิเศษพร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะการงดเว้นระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงการใช้อำนาจพิเศษมาตรา 44 3.ผิดพลาดก็ยอมรับยอมถอย..อย่าดันทุรัง โครงการไหนที่ทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จก็ให้แก้ไขปรับปรุง อย่ากลัวเสียหน้า ผู้คนจะยกย่องมากกว่า ไม่ใช่บอกว่าที่ทำไปไม่มีผิดเลย ความน่าเชื่อถือจะหมดลงไป
4.บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่พรรคพวกหรือกลุ่มทุนใช้มาตรฐานอย่างหนึ่ง คนตัวเล็กตัวน้อยใช้อีกมาตรฐานหนึ่ง 5.กฎหมายที่ล้าสมัยก็ยกเลิกไปเถิด อย่างเรื่องแจ้งทรัพย์สินส่วนตัวที่จะพกพาออกนอกประเทศ หน่วยงานรับผิดชอบบอกว่าเป็นกฎหมายเก่ามีมานานแล้ว ก็อยากถามว่าในเมื่อปฏิบัติจริงไม่ได้จะฝืนออกมาเพื่ออะไร และ 6.เอาจริงเอาจังกับปัญหาคอร์รัปชั่น ไม่ใช่ว่าผู้ร้องเรียนแจ้งเบาะแสแล้วถูกข่มขู่คุกคาม และต้องย้ำว่าคนจะไม่กล้าทุจริตถ้ามีระบบตรวจสอบที่ดี ไม่ใช่การเอาแต่เพิ่มโทษให้รุนแรง
ถ้ายังทำแบบเดิมอย่างที่ทำมาตลอด 3 ปี อย่างไรสังคมไทยก็ยังคงเหลื่อมล้ำ..และจะเหลื่อมล้ำมากขึ้น!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี