“ตัวเองเป็นคนโชคดีอย่างหนึ่ง แม่ทำร้านอาหารเกาหลี ก็จะรู้จักอาหารเกาหลีมาตลอด ตอนเข้ามหาวิทยาลัยก็บอกเพื่อนๆ ว่าเราเรียนเอกเกาหลีเราต้องกินกิมจิเพราะคนเกาหลีเขากินกิมจิทุกวัน เพื่อนก็ตกใจ ขนาดทำให้เพื่อนกินยังไม่มีใครกินเลย มันคือผักอะไรทำไมใส่พริกแดง ไม่มีใครกล้ากิน คือสมัยก่อนมันยังไม่มีสื่อเยอะขนาดนี้ กว่าเพื่อนจะได้กินได้รู้จัก แล้วทุกคนก็บอกว่าไม่เห็นอร่อยเลย ทุกวันนี้เวลาทานกิมจิทุกคนรู้สึกอย่างไร? อร่อย! อร่อยในรสชาติมันจริงๆ หรือเพราะอร่อยในวัฒนธรรมนั้น?”
เรื่องเล่าจาก สุภาพร บุญรุ่ง อาจารย์สาขาวิชาภาษาเกาหลี ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในงานเสวนา “นโยบายวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์กับการพัฒนาเกาหลีใต้ในทศวรรษใหม่” ถึงกระแสความนิยม “เค-ป๊อป” (K-Pop) หรือวงการบันเทิงของเกาหลีใต้ ที่ไม่ได้สร้างประโยชน์เฉพาะธุรกิจบันเทิงอย่างเดียว แต่ยังทำให้ “วัฒนธรรมเกาหลี” เผยแพร่ไปยังประเทศอื่นๆ เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจของเกาหลีใต้อย่างกว้างขวางหลายภาคส่วน
อาจารย์สุภาพรกล่าวว่า ความนิยมบันเทิงเกาหลีในสังคมไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีคนไทยสนใจเรียนภาษาเกาหลีเป็นจำนวนมาก โดยช่วงที่มาเป็นอาจารย์ใหม่ๆ มีนิสิตลงทะเบียนเรียนภาษาเกาหลีเพียง 5 คนเท่านั้น แต่เมื่อกระแสเค-ป๊อปเข้ามาในประเทศไทย จำนวนนิสิตที่เรียนภาษาเกาหลีก็เพิ่มเป็นหลักหลายร้อยคนต่อภาคการศึกษา แม้แต่ในระดับมัธยมศึกษาหลายโรงเรียนก็มีการเปิดสอนภาษาเกาหลี
กระทั่งล่าสุดการสอบ “แพ็ท” (PAT) ในปี 2561 มีการบรรจุ “ความถนัดภาษาเกาหลี” ให้เลือกสอบด้วย เรียกว่า PAT7.7 ซึ่งเท่าที่ทราบปัจจุบันมีนักเรียนมัธยมทั่วประเทศเลือกเรียนภาษาเกาหลีราว 28,000 คน และนิสิต-นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยอีกกว่า 2,000 คน ยังไม่นับเรื่องของ “สินค้าอิเล็กทรอนิกส์” ในอดีตคนไทยจะคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์จากญี่ปุ่นเสียมากกว่า แต่ทุกวันนี้เครื่องใช้ไฟฟ้าเกาหลีใต้น่าจะอยู่ในแทบทุกบ้านของคนไทยไปแล้ว
ขณะที่ ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนามอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ถ้าใครอยากเข้าใจคนเกาหลี ต้องเข้าใจรากเหง้าทางวัฒนธรรมของเขาเสียก่อน โดยวัฒนธรรมเกาหลีเกิดจากการผสมผสานกันของ 5 ความเชื่อประกอบด้วย 1.มูซก (Musok) หรือแปลง่ายๆ ว่า “ศาสนาผี” เชื่อว่าในธรรมชาติ ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ทะเล ฯลฯ มีวิญญาณสิงสถิตอยู่ รวมถึงเชื่อใน “วิญญาณบรรพชน” นอกจากนี้ “ร่างทรง” เป็นอาชีพที่รายได้ดีมาก คนเกาหลีเวลาจะตั้งชื่อลูกหรือเปิดตัวธุรกิจ มักนิยมไปติดต่อร่างทรงให้มาตั้งชื่อหรือมาดูฤกษ์ยามที่เหมาะสม
2.ลัทธิเต๋า (Taoism) เกาหลีเป็นดินแดนที่ติดกับ 1 ในต้นธารอารยธรรมตะวันออกอย่าง จีน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้รับอิทธิพลทางหลักคิดความเชื่อจากจีน ลัทธิเต๋าเผยแพร่เข้าสู่แผ่นดินเกาหลีในยุคที่แบ่งการปกครองเป็น 3 อาณาจักร (โคกูรยอ-แพ็กเจ-ชิลลา) ลัทธิเต๋านั้นกำเนิดโดยปราชญ์ชาวจีน เล่าจื้อ มีคำสอนเน้น “ความเรียบง่าย” ไม่หวือหวา เห็นได้จาก “ความงามแบบเกาหลี” จะไม่เหมือนกับของฝรั่งตะวันตก
ในอดีตเกาหลีใต้เคยมีปัญหาทุจริตอย่างรุนแรง แต่ด้วยความเอาจริงเอาจัง ทั้งการสังคายนากฎหมายครั้งใหญ่หลังวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 โดยยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่มีขั้นตอนขออนุญาตต่างๆ จุกจิกเกินสมควรให้สะดวกขึ้นเพื่อลดโอกาสการที่เจ้าหน้าที่รัฐจะเรียกรับผลประโยชน์จากประชาชน รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายปราบปรามการทุจริตอย่างไม่ละเว้นแม้แต่กับคนระดับประธานาธิบดีหรือผู้บริหารบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ ส่งผลให้การจัดอันดับความโปร่งใสนานาชาติ เกาหลีใต้ “สอบผ่าน” ได้คะแนนเกินครึ่งมาตลอดทศวรรษล่าสุดถึงปัจจุบัน
“ความงามแบบเกาหลีจะไม่เหมือนกับพิธีกรข่าวในสหรัฐอเมริกา ที่ต้องไปฉีดไขมันในปากให้หนา ไม่ใช่ต้องแบบก้นใหญ่หน้าอกใหญ่ที่ถือว่าสวยแบบอเมริกัน แต่ต้องเป็นความสวยที่ไม่ผิดจากธรรมชาติมากนัก 4-5 ปีก่อนมีนิสิตปริญญาโททำวิทยานิพนธ์เรื่องการทำศัลยกรรมแบบเกาหลี แต่ทำที่คณะเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่คณะแพทย์ เพราะเขาอยากรู้ว่าทำจมูกอย่างไรจะได้ความสวยแบบเกาหลี ความสอดคล้องตรงนี้เกิดขึ้นเพราะวิธีคิดแบบเต๋าของคนเกาหลี” อาจารย์ปิติ ยกตัวอย่าง
3.ศาสนาพุทธนิกายมหายาน (Mahayana Buddhism) ศาสนาพุทธนิกายมหายานมีผู้นับถือแพร่หลายในภูมิภาคเอเชียตะวันออก(จีน เกาหลี ญี่ปุ่น) มาตั้งแต่สมัยโบราณ คำสอนสำคัญที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อคนเกาหลีคือ “ความขยันหมั่นเพียร” พยายามปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนื่อง 4.ลัทธิขงจื้อ (Confucianism) อีกความเชื่อหลักของชาวจีนที่แพร่หลายในเอเชียตะวันออก ตั้งชื่อตามผู้สถาปนาหลักคิดคือ ขงจื้อ ปราชญ์ชาวจีนร่วมสมัยกับเล่าจื้อแห่งลัทธิเต๋า ให้ความสำคัญกับ “อาวุโส-การศึกษา-กตัญญู” 3 สิ่งนี้ถือเป็นค่านิยมหลักของคนเกาหลีจนถึงปัจจุบัน
และ 5.ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ (Protestantism Christianity) เข้ามามีอิทธิพลในเกาหลีใต้ช่วงสงครามเกาหลี (2493-2496) ตามกองทัพสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาช่วยเกาหลีใต้รบกับเกาหลีเหนือที่มี 2 แกนนำค่ายสังคมนิยมอย่างจีนและสหภาพโซเวียต (รัสเซีย) เป็นผู้สนับสนุน ปัจจุบันคนเกาหลีใต้จำนวนมากจึงนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์และมีความแข็งขันในการเผยแผ่ศาสนาอย่างมากพอๆ กับศาสนิกชนชาวอเมริกัน แม้กระทั่งโบสถ์บางแห่งยังเป็นที่พบปะของ “ชนชั้นนำ” ทั้งนักการเมืองและนักธุรกิจของเกาหลีใต้
อาจารย์ปิติ ยกตัวอย่างวัฒนธรรมที่แทรกตัวอยู่ในภาคเศรษฐกิจเกาหลีใต้ เช่น โทรศัพท์มือถือที่ช่วงแรกๆ แม้จะมีหน้าตาคล้ายกับมือถือยี่ห้อดังของสหรัฐ แต่ต่อมาได้แตกออกไปตามแนวทางของตนเอง ที่ไม่ใช่แค่พัฒนาตัวเครื่องหรือระบบปฏิบัติการเท่านั้น ยังรวมไปถึง “รูปลักษณ์ภายนอก” ดังจะเห็นว่ามือถือเจ้าดังแดนกิมจิ รุ่นหลังๆ ชูจุดขาย “ไม่มีขอบ” และกลายเป็น “ไร้ปุ่ม” อันเป็นภาพสะท้อนความงามแบบเกาหลี “เรียบๆไม่รก” หรือกลุ่มศิลปินนักร้องก็มีการฉายภาพให้เห็น “ความทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างหนัก” กว่าจะโด่งดังเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
จากเกาหลีใต้ย้อนมองดูประเทศไทย อภิชาติ ประเสริฐผู้อำนวยการบริหาร “OKMD” สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) กล่าวเสริมว่า ความจริงแล้วประเทศไทยมีศิลปวัฒนธรรมที่น่าสนใจอยู่มากมาย แต่จะทำอย่างไรจึงจะ “ประยุกต์” ให้เข้ากับสมัยใหม่ได้ ซึ่งขณะนี้ OKMD กำลังไปดูตามจังหวัดต่างๆ ว่าแต่ละพื้นที่มีจุดแข็งทางวัฒนธรรมอย่างไร เพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดต่อไปโดยร่วมมือกับทางรัฐบาลและอีกหลายภาคส่วน
“ต้องยอมรับว่าในเกาหลีรัฐบาลเขามีนโยบายให้ความสนใจทั้งระดับบนและระดับล่าง รวมถึงคนเกาหลีที่มีความมุ่งมั่น ดังนั้นถ้าเราจะทำแบบเกาหลี คิดว่าจะทำให้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยเราไปได้เหมือนกัน” ผอ.OKMD ฝากทิ้ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี