เมื่อไม่นานมานี้ ท่านผู้อ่านคงผ่านตาข่าวคราวเกี่ยวกับการตรวจค้นแหล่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและอาหารเสริมกว่า 200 ร้านค้าย่านตลาดใหม่ดอนเมือง ของเจ้าหน้าที่สำนักงานอาหารและยา (อย.) และตำรวจ ซึ่งพบว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไม่แสดงเลขที่ใบรับแจ้ง และอาหารเสริมส่วนใหญ่ไม่มีเครื่องหมาย อย. ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ยึดผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายเกือบ 2 แสนชิ้นไปตรวจสอบสารอันตราย และกำลังขยายผลไปตรวจสอบกวาดล้างถึงแหล่งผลิตสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานเหล่านี้
แท้จริงแล้ว “ปัญหาเครื่องสำอาง รวมถึงอาหารเสริมที่ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานเป็นปัญหาเรื้อรังมานานหลายปี” หากแต่ที่ผ่านมาไม่ได้มีการกวาดล้างและดำเนินการทางด้านกฎหมายอย่างเข้มงวด แต่เมื่อมีเหตุการณ์ร้องเรียนบริษัทเครื่องสำอางและอาหารเสริมรายหนึ่ง รวมถึงการสูญเสียชีวิตของผู้กินอาหารเสริมลดน้ำหนักยี่ห้อหนึ่งถึง 4 รายในช่วงปลายเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา จึงทำให้เกิดพฤติกรรม “วัวหายล้อมคอก” โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ อย. ได้เข้าไปทลายแหล่งค้าเครื่องสำอางและอาหารเสริมขนาดใหญ่ที่ย่านตลาดใหม่ดังกล่าวในช่วง เม.ย.-พ.ค. 2561
การลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่ามี “สินค้าเถื่อน” ที่วางจำหน่ายจำนวนมากทั้งที่เป็นอาหารเสริมและเครื่องสำอาง ซึ่ง “เครื่องสำอางส่วนมากไม่มีเลขที่ใบรับแจ้ง ขณะที่อาหารเสริมมีการทำเลขสารบบอาหารปลอมขึ้นมา รวมทั้งมีการนำเลข อย. ของสินค้าอื่นมาติดบนฉลาก” อีกด้วย หรือที่เรียกว่าการ “สวมเลข อย.” เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สังคมมองว่า อย. ไม่เข้มงวดกับการกำกับดูแลมากพอ มีระบบการจดทะเบียนที่หละหลวม
“โดยเฉพาะการกำกับดูแลเครื่องสำอางที่กำหนดเพียงให้ทำการจดแจ้งผ่านระบบออนไลน์ (e-submission) ซึ่งมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้เสนอแนะให้ อย. ยกเลิกระบบการจดแจ้งเครื่องสำอางออนไลน์ และอย่างน้อยควรไปจดแจ้งโดยตรงกับ อย. เพื่อเป็นหลักฐานในการยืนยันว่าใครเป็นผู้ผลิตและสถานที่ผลิตเป็นไปตามที่ระบุหรือไม่?”
ผู้เขียนมองว่า การยกเลิกระบบจดแจ้งเครื่องสำอางออนไลน์ อาจไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ตรงประเด็นนัก เนื่องจาก “ปัญหาไม่ได้เกิดจากการยื่นจดแจ้ง แต่ปัญหาน่าจะเกิดจากการผลิตสินค้าที่นำมาขายจริงกลับมีการเติมสารที่ไม่ได้แจ้ง อย. หรือผลิตสินค้าโดยปลอมแปลงเลขที่ใบรับแจ้ง” ถึงแม้จะมีการจดแจ้งกับเจ้าหน้าที่ อย. โดยตรงเพื่อให้มีการตรวจสอบ แต่การตรวจสอบนั้นจะเกิดเฉพาะในช่วงการขอจดทะเบียนเท่านั้น หากแต่ไม่ได้มีการสุ่มตรวจสอบสินค้าเมื่อวางขายในตลาด
นอกจากนี้ “การยกเลิกระบบการจดแจ้งเครื่องสำอางออนไลน์ไม่สามารถทำได้ เนื่องด้วยประเทศไทยได้ลงนามในความตกลง Agreement on ASEAN Harmonized Cosmetic Regulatory Scheme (AHCRS)” ทำให้การกำกับดูแลเครื่องสำอางก่อนวางตลาด ซึ่งนอกจากจะมีการกำหนดรายการสารต้องห้ามที่ใช้เป็นส่วนผสม การแสดงฉลาก รวมถึงการจัดทำเอกสารข้อมูลผลิตภัณฑ์ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งอาเซียนแล้ว ยังกำหนดให้ประเทศภาคีใช้ระบบการจดแจ้งผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่จำหน่ายแทนการจดทะเบียน
“ทั้งนี้ แนวโน้มการกำกับดูแลเครื่องสำอางของทุกประเทศได้เริ่มมีการปรับให้สอดคล้องกับการกำกับดูแลตามมาตรฐานสากล คือ กำหนดให้มีการจดแจ้งผ่านระบบออนไลน์มากกว่าการไปขอจดทะเบียนผลิตภัณฑ์กับเจ้าพนักงานโดยตรง เนื่องจากเป็นการลดปัญหาและภาระขั้นตอนเรื่องเอกสารต่าง ๆ หากแต่ผู้ประกอบการต้องจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องสำอาง (Product Information File : PIF) ไว้พร้อมให้เจ้าหน้าที่สามารถเรียกตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”
นอกจากอาเซียน ประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มสหภาพยุโรป (EU) รวมถึง สหรัฐอเมริกา ก็ใช้วิธีการจดแจ้งผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางผ่านระบบออนไลน์เช่นกัน หากแต่ประเทศเหล่านี้ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบความปลอดภัยของสินค้าหลังวางขาย หรือ Post Market Surveillance อย่างมาก เช่น ในสหรัฐอเมริกา องค์การอาหารและยา (FDA) มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบและเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพทั้งหมดเกือบ 5,000 คน ทั้งในส่วนกลางและสำนักสาขาทั่วประเทศ
ซึ่งในการตรวจสอบเครื่องสำอาง “เจ้าหน้าที่ FDA จะสุ่มตรวจสินค้าทั้งที่วางขายในตลาดและบริษัทที่ผลิตสินค้าโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า” และจะทำการตรวจสอบตั้งแต่ฉลากเครื่องสำอางว่าถูกต้องและเป็นความจริงหรือไม่ รวมถึงสารประกอบในผลิตภัณฑ์ว่าเป็นไปตามข้อมูลที่ยื่นจดแจ้งหรือไม่ หากตรวจพบว่า สินค้าใดมีการปิดฉลากที่ไม่ถูกต้องหรือมีส่วนประกอบที่ไม่ตรงกับเอกสารที่ยื่นจดแจ้ง จะพิจารณาเรียกคืนสินค้าที่ไม่ปลอดภัยออกจากตลาดทั้งหมด และดำเนินคดีกับผู้ผลิตหรือผู้ขายอย่างจริงจัง
ดังนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนระบบจากการจดทะเบียนมาเป็นระบบจดแจ้งออนไลน์ตามมาตรฐานสากลเพื่อลดกระบวนการและขั้นตอนในการวางสินค้าในตลาดให้แก่ภาคเอกชนแล้ว หน่วยงานกำกับดูแลจะต้องพัฒนาศักยภาพในการทำการตรวจสอบความปลอดภัยของสินค้าหลังวางขาย เช่นในประเทศที่พัฒนาแล้ว “ทว่าในปัจจุบัน อย. เป็นหน่วยงานที่มีสำนักงานแค่ในส่วนกลางและมีอัตรากำลังเพียง 700 กว่าคน ทำหน้าที่กำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพที่อยู่ในความรับผิดชอบทั้งหมด” ไม่ได้มีหน้าที่เพียงตรวจสอบและเฝ้าระวังเท่านั้น
ซึ่งจากจำนวนและภาระหน้าที่แล้วทำให้ไม่สามารถที่จะตรวจสอบสินค้าเครื่องสำอางที่วางจำหน่ายในตลาดทั้งหมดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการสุ่มตรวจสอบสินค้าในระดับท้องถิ่น ดังนั้น เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้บริโภค อาจแบ่งการแก้ปัญหาเป็น 2 ระยะ “ในระยะแรก อย. ต้องร่วมมือกับ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานในระดับท้องถิ่น” เข้มงวดกับการลงพื้นที่สุ่มตรวจสอบสินค้าที่วางจำหน่ายในตลาดแต่ละพื้นที่ รวมถึงสินค้าที่จำหน่ายผ่านระบบออนไลน์ทุก 3-4 เดือน
“เพื่อเร่งตรวจสอบเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมทั้งเครื่องสำอางเถื่อน พร้อมกับเปิดเผยการดำเนินงานต่อสาธารณะ และหากพบสินค้าที่เป็นอันตราย หรือละเมิดต่อกฎหมาย ต้องมีการส่งต่อให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคเร่งกวาดล้าง และประชาสัมพันธ์ข่าวสารให้ประชาชนรับรู้อย่างรวดเร็ว” อย่างเช่นในกรณีของ FDA ที่มีเพจ “Recalls and Alerts” ที่แสดงรายชื่อสินค้าและผู้ผลิตสินค้าที่ตรวจพบว่ามีสารพิษเกินกว่าเกณฑ์และ FDA ได้แจ้งเตือน หรือออกคำสั่งให้ถอนสินค้าดังกล่าวออกจากตลาด
ส่วนในระยะยาว อย. อาจพิจารณาว่าจ้างหน่วยงานภายนอก เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบความปลอดภัยของสินค้าหลังวางขาย หากกำลังคนไม่เพียงพอ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคว่าจะไม่มีการใช้สินค้าที่มีการแอบอ้าง อย. อยู่!!!
ธารทิพย์ สุวรรณเกศ
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี