ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา มีข่าวน่าสลดใจเกี่ยวกับชะตากรรมของสิ่งมีชีวิตร่วมโลกซึ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยถึง2 ข่าวด้วยกัน กรณีแรกคือ วาฬนำร่องครีบสั้น ถูกพบเกยตื้นบริเวณคลองนาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา เรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าวเมื่อ 28 พ.ค. 2561 จากนั้นอีกไม่กี่วันต่อมามันก็เสียชีวิต และเมื่อเจ้าหน้าที่ผ่าพิสูจน์ซากก็พบว่าสาเหตุคือ “ถุงพลาสติก” น้ำหนักเกือบ 8 กิโลกรัม ที่อยู่ภายในกระเพาะอาหาร ซึ่งเจ้าปลาวาฬเคราะห์ร้ายกินเข้าไป
กับอีกกรณีหนึ่งซึ่งเหตุเกิดที่บริเวณท่าเรือแหลม จ.ชลบุรี คือการพบ เต่าตนุ สภาพป่วยหนักในวันที่ 4 มิ.ย.ปีเดียวกัน จากนั้นเพียง 2 วัน ให้หลังมันก็สิ้นใจ และเมื่อเจ้าหน้าที่ผ่าพิสูจน์ซาก ก็พบทั้งหนังยาง รวมถึงเศษพลาสติกหลายประเภททั้งเชือก ถุง และเศษอุปกรณ์ทำประมง จึงสรุปได้ว่าเต่าตัวนี้ตายเพราะกินพลาสติกเข้าไปในปริมาณมาก ซึ่งตอกย้ำถึง “วิกฤติขยะ” ในไทยได้ชัดเจน ทั้งการถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 6 ของโลกว่าด้วยประเทศที่ทิ้งขยะลงสู่ทะเล รวมถึงข้อมูลของ กรมควบคุมมลพิษ ที่ระบุว่า ประเทศไทยสร้างขยะพลาสติกมากถึง 2 ล้านตันต่อปี
ที่ผ่านมาแม้ภาครัฐและภาคส่วนอื่นๆ จะพยายามรณรงค์ลดการใช้พลาสติก แต่ดูเหมือนจะไม่เคยได้ผล ดังนั้นจึงมีเสียงเรียกร้องว่า “ถุงพลาสติกไม่ควรเข้าถึงได้ง่ายอีกต่อไป”เห็นได้จากโครงการนำร่องในมหาวิทยาลัย 2 แห่ง คือ “Chula Zero Waste” ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีการทดลองให้ร้านค้าทุกประเภท “เก็บค่าใช้ถุงพลาสติกใบละ 2 บาทจากลูกค้า” เริ่มตั้งแต่เดือน ก.พ. 2560 พบว่าสามารถลดการใช้ถุงพลาสติกในพื้นที่มหาวิทยาลัยอย่างเห็นผล จากเดิมที่ใช้กันวันละ 5 หมื่นใบ เหลือเพียงวันละ 2 พันใบเท่านั้น
และอีกโครงการที่คล้ายกันคือ “มหิดล Reduce & Reuse ถุงพลาสติก” ทดลองกันที่มหาวิทยาลัยมหิดล (ศาลายา)ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2559 โดยทุกคนที่ใช้บริการร้านค้าต่างๆในมหาวิทยาลัย สามารถใช้ถุงพลาสติกได้ 2 ทาง คือ 1.จ่ายค่าถุงใหม่ถุงละ 2 บาท กับ 2.ใช้ถุงพลาสติกที่มีผู้บริจาคนำมาวางไว้ในร้าน ไม่เช่นนั้นแล้วก็ต้องหาถุงมาใส่สินค้าเอง พบว่าจำนวนการใช้ถุงพลาสติกลดลงจาก 282,600 ใบ ในช่วงเริ่มโครงการ เหลืออยู่ที่ 34,000 ใบ ในเดือน ก.พ. 2560 และในเดือนก.พ. 2561 ยังลดลงมาอีกโดยอยู่ที่ 32,000 ใบ
รศ.ดร.กิติกร จามรดุสิต รักษาการแทนรองอธิการบดีฝ่ายสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า โครงการมหิดล Reduce & Reuse ถุงพลาสติก สามารถลดการใช้ถุงพลาสติกได้อย่างเห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรม ไม่เพียงแค่เห็นผลเป็นตัวเลขเท่านั้น แต่นักศึกษาและบุคลากร ต่างก็ปรับรูปแบบพฤติกรรมในชีวิตประจำวันด้วย ทุกคนทุกฝ่ายมีความตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ซึ่งโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับประเด็นหลักในการรณรงค์ของ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme UNEP) ประจำปี 2561 ซึ่งมุ่งเน้นให้ประเทศต่างๆ “ต่อสู้กับมลพิษขยะพลาสติก” (Beat Plastic Pollution) อย่างเป็นทิศทางเดียวกันทั่วโลก โดยมีคำขวัญประจำปีว่า “If you can’t reuse it, refuse It” หรือที่นำมาเรียงเป็นภาษาไทยว่า “รักษ์โลก เลิกพลาสติก” และในอนาคต มหาวิทยาลัยมหิดล (ศาลายา) มีแผนที่จะต่อยอดโครงการไปยังชุมชนโดยรอบต่อไป
จากตัวอย่างเล็กๆ ของ 2 มหาวิทยาลัยในไทย ย้อนไปเมื่อเดือน ต.ค. 2558 ที่ประเทศ อังกฤษ รัฐบาลเมืองผู้ดีออกกฎหมายให้ร้านค้าต่างๆ ต้องเก็บเงินค่าถุงพลาสติกใบละ 5 เพนนี หรือ 2.15 บาท จากประชาชนที่ซื้อสินค้าและต้องการใช้ถุงพลาสติก หลังจากที่ก่อนหน้านั้นพบว่า ชาวอังกฤษ 1 คนได้รับถุงพลาสติกเฉลี่ย 12 ใบต่อเดือน จนปริมาณขยะถุงพลาสติกพุ่งสูงไปอยู่ที่ 7,600 ล้านใบต่อปี ซึ่งพบว่าเมื่อเวลาผ่านไปเพียง 1 ปี จำนวนการใช้ถุงพลาสติกในอังกฤษลดลงไปมากถึงร้อยละ 83
ทำให้ล่าสุดตั้งแต่ช่วงต้นปี 2561 รัฐบาลอังกฤษมีแผนจะขยายผลโครงการไปยังขยะอื่นๆ เช่น แก้วกาแฟ หลังพบว่าแต่ละปีมีแก้วกาแฟถูกทิ้งถึง 2,500 ล้านใบ และในจำนวนนี้
มีเพียงร้อยละ 1 เท่านั้นที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ จึงเสนอแนวคิดว่าควรเก็บค่าแก้วกาแฟใบละ 25 เพนนี หรือ 10.75 บาท รวมถึง ขวดพลาสติก ที่อาจเก็บค่าขวดในอัตราใบละ 22 เพนนี หรือ 9.46 บาท หลังพบขวดพลาสติกถูกทิ้งเป็นขยะถึง 13,000 ล้านใบต่อปี
ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้อง “จัดระเบียบการใช้ถุงพลาสติก” ดังตัวอย่างทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นแล้วหรือไม่?
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี