วันพรุ่งนี้ 27 ก.ค.เป็นวัน "อาสาฬหบูชา" และในวันที่ 28 ก.ค.เป็นวัน "เข้าพรรษา" ช่วงนี้จึงมีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากนิยมเข้าวัดทำบุญกัน ดังนั้น หากใครก็ตามที่จะไปทำบุญด้วยการถวายสังฆทานในวันดังกล่าวที่วัดใดวัดหนึ่งด้วยการเลือกซื้อสังฆทานสำเร็จรูป หรือสิ่งของที่ทางร้านค้าจัดเป็นชุดไว้แล้วไปถวายพระก็ควรเลือกของที่ดีมีคุณภาพ ที่มีความจำเป็นต่อพระสงฆ์ เนื่องจากสิ่งของบางอย่างอาจไม่ใช่ของที่จำเป็นต่อพระสงฆ์และกลายเป็นของที่ไม่มีประโยชน์ บางครั้งทางร้านค้าได้จัดไว้นานแล้วไม่ได้มีการตรวจสอบจนทำให้ของบางอย่างหมดอายุ หรือเป็นของที่คุณภาพต่ำจนใช้งานไม่ได้ อีกทั้งราคาก็แพงขึ้นจากช่วงวันปกติที่ไม่ใช่วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
วันนี้ (26 ก.ค.) "ทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์" ได้ลงพื้นที่สำรวจราคาสังฆทานที่จัดขายภายในห้างสรรพสินค้าทั่วไป พบว่าปัจจุบันราคาจะอยู่ที่จำนวนของที่จัด เช่น 1 ชุด ราคา 169 บาท จะมีปลากระป๋อง 1 กระป๋อง ปลากรอบ 25 กรัม 1 กระป๋อง เก็กฮวย 12 กรัม 1 กล่อง น้ำดื่ม 330 มล. 1 ขวด ลูกอม 7 เม็ด ไม้จิ้มฟัน 320 ก้าน 1 กระปุก แปรงสีฟัน 1 ด้าม ผ้าเช็ดหน้าพระ 11*11 นิ้ว 1 ผืน ธูปกล่องพร้อมเทียน 1 กล่อง และกล่องบรรจุ 1 ใบ เป็นต้น โดยชุดสังฆทานจะมีหลายชุดไว้ให้เลือกหลายราคา โดยราคาจะอยู่ประมาณ 150-500 บาท ส่วนเทียนที่นำมาวางจำหน่ายจะอยู่ที่ขนาดและลวดลายที่แกะสลักบนเทียน ราคาประมาณ 150-200 บาทขึ้นไป
น.ส.จินดา ชูทอง อายุ 42 ปี ชาวบ้านจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ตนจะเข้าวัดทำบุญเกือบทุกวันพระ และปกติก็จะตักบาตรทุกวันพร้อมกับลูกชาย เพื่อให้เขาได้รู้จักการทำบุญและการให้ ทุกครั้งที่ทำบุญรู้สึกดี รู้สึกว่าสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต และที่สำคัญทำแล้วสบายใจ แต่หากจะจัดไปถวายสังฆทานตนก็จะเตรียมของไปเอง เลือกซื้อของที่พระสงฆ์จำเป็นต้องใช้ จะไม่ไปซื้อสังฆทานที่จัดชุดไว้แล้ว เพราะของบางอย่างที่จัดไว้เป็นชุด 1 ถัง จะประกอบไปด้วยบะหมี่สำเร็จรูป น้ำขิงแบบซอง ปลากระป๋อง ไม่จิ้มฟัน กระดาษทิชชู เป็นต้น ซึ่งตนเห็นว่าบางอย่างมันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น มากไปกว่านั้นของบางอย่างอาจจะหมดอาจจะหมดอายุการใช้งาน ตนจึงตัดสินใจว่าเวลาที่จะถวายสังฆทานจะไปเลือกซื้อสิ่งของเองทั้งหมด
"สำหรับสิ่งของที่เราเลือกซื้อก็จะเป็นไฟฉาย ถ่านไฟฉาย ธูปเทียน (ขนาดมาตรฐาน) ยาสามัญประจำบ้าน และที่สำคัญราคาสังฆทานอาจจะปรับขึ้นหรือมีพ่อค้าแม่ค้าที่ฉวยโอกาสในวันสำคัญทางศาสนาขายสังฆทานที่แพงกว่าราคาของที่จัดไว้ หากจะทำบุญให้ได้บุญจริงๆ เราก็เลือกที่จะซื้อของที่พระสงฆ์จำเป็นจริงๆ มากกว่า" น.ส.จินดา กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจของบางหน่วยงานถึงความจำเป็นในการใช้สิ่งของในช่วงเข้าพรรษาของพระสงฆ์ 10 อันดับแรกมีดังนี้
1.เครื่องเขียนและอุปกรณ์การเรียน เนื่องจากในปัจจุบันพระสงฆ์ส่วนใหญ่มีโอกาสในการศึกษา จึงมีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์การเรียน โดยเฉพาะหนังสือนักธรรม หนังสือบาลี สมุด กระดาษ ปากกา และดินสอ เพราะต้องใช้ในการศึกษาพระธรรม
2.มีดโกน ควรเลือกยี่ห้อที่มีคุณภาพ โกนได้เกลี้ยงเกลา เพื่อให้พระสงฆ์ใช้ในการปลงผมได้อย่างสะดวกและปลอดภัย
3.ผ้าไตรจีวร แม้จะเป็นสิ่งที่พบเห็นในชุดสังฆทาน แต่ส่วนใหญ่มักเป็นของที่ไม่ได้ขนาดและไม่มีคุณภาพ ดังนั้นผู้ถวายสังฆทาน ควรเลือกอย่างเหมาะสม เช่น ผ้าไตรจีวรที่ทำจากผ้ามัสลิน เพราะเนื้อผ้าเหมาะสมกับสภาพอากาศร้อนชื้น
4.หนังสือธรรมะ สารคดี นิตยสาร หรือหนังสือที่ให้ความรู้อื่นๆ หากไม่สะดวกนำสิ่งของเหล่านี้มาถวายที่วัด สามารถสมัครสมาชิกรายปี หรือสั่งซื้อหนังสือจากสำนักพิมพ์เพื่อให้ส่งตรงถึงวัดเลยก็ได้
5.รองเท้า แบบของรองเท้าที่นำมาถวายนั้น ควรดูตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ อาจลองสังเกตดูก็ได้ว่า แต่เดิมพระสงฆ์ที่วัดแห่งนั้นสวมใส่รองเท้าแบบใด
6.ยารักษาโรค ควรถวายยาดี มีคุณภาพ และเป็นยาสามัญทั่ว ๆ ไป ที่ใช้กันในชีวิตประจำวัน
7.ผ้าขนหนู ควรเลือกผ้าขนหนูเนื้อดี สีสุภาพ ไม่ควรมีลวดลายฉูดฉาด และไม่จำเป็นต้องมีสีเหลืองแต่อย่างใด
8.เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ในยุคโลกหมุนตามเทคโนโลยี วัดต่างๆ จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งยังมีหลายวัดที่ยังขาดแคลนอุปกรณ์เหล่านี้อีกเป็นจำนวนมาก
9.ผลิตภัณฑ์และชุดอุปกรณ์ทำความสะอาด เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาล้างจาน ไม้กวาด และไม้ถูพื้น
10.แชมพูสระผม เนื่องจากพระสงฆ์ต้องใช้แชมพูในการชำระล้างหนังศีรษะก่อนการปลงผม ดังนั้นแชมพูจึงถือเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่ง
อนึ่ง สำหรับ "วันอาสาฬหบูชา" ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี คือ วันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จนพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
ส่วน "วันเข้าพรรษา" คือ พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำวัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่างๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่นๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน โดยแบ่งเป็น
"ปุริมพรรษา" หรือวันเข้าพรรษาแรก เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี หรือถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11
"ปัจฉิมพรรษา" หรือวันเข้าพรรษาหลัง เริ่มตั้งแต่ วันแรมค่ำ 1 เดือน 9 จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12
สำหรับข้อยกเว้นให้ภิกษุจำพรรษาที่อื่นได้ โดยไม่ถือเป็นการขาดพรรษา เว้นแต่เกิน 7 วัน ได้แก่ 1.การไปรักษาพยาบาลภิกษุ หรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย 2.การไประงับภิกษุสามเณรที่อยากจะสึกมิให้สึกได้, 3.การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด, 4.หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปฉลองศรัทธาในการบำเพ็ญกุศลของเขาได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี