“อเมริกันดรีม (American Dream)”สำหรับผู้คนใน สหรัฐอเมริกา แล้วนี่คือสิ่งที่เชื่อกันเสมอว่า “บนแผ่นดินอเมริกา ถ้าคุณขยันและเก่งพอ คุณก็ประสบความสำเร็จได้ไม่ว่าจะเกิดในชนชั้นใด” สมกับเป็น “ดินแดนแห่งเสรีภาพ” แตกต่างจากทวีปยุโรปบ้านเกิดของคนฝรั่งผิวขาวรุ่นบุกเบิกที่ตัดสินใจละทิ้งมาซึ่งมีค่านิยมเรื่องศักดินายศถาบรรดาศักดิ์ชาติตระกูล
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปดูจะกลับตาลปัตร..ในขณะที่ดินแดนยุโรป ณ ปัจจุบันได้ชื่อว่าผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีจนทั่วโลกอิจฉาและอยากเอาเยี่ยงอย่าง “สหรัฐอเมริกากลับกลายเป็นประเทศที่สังคมเหลื่อมล้ำสูงมากในหมู่ประเทศพัฒนาแล้วด้วยกัน” จนเมื่อไม่กี่ปีก่อนมีการประท้วงใหญ่ “ยึดวอลล์สตรีท (Wall Street Occupy)” เนื่องด้วยชาวอเมริกันมองว่าผู้มีอำนาจรัฐไม่ว่ากลุ่มไหนต่างก็ “อุ้มคนรวย” ขณะที่คนทั่วไปต้องตกอยู่ในภาวะลำบากยากแค้น
เรื่องนี้แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล โจเซฟ สติกลิตส์ (Joseph Stiglitz) ก็ยังเคยเปรยเอาไว้ว่า “โครงสร้างเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกานั้นมีคนเพียง 1% ที่ได้ประโยชน์” และมันได้กลายเป็นคำขวัญของการประท้วงที่วอลล์สตรีทข้างต้นด้วย “ฝันแบบอเมริกันไม่เป็นจริงเสียแล้วหรือ?” คำตอบคือ “ใช่” หากไม่มีการแก้ไขกลไกต่างๆ ให้เป็นธรรมมากกว่านี้
ที่งานสัมมนา “Joseph Stiglitz กับความเหลื่อมล้ำที่เราเลือกได้” จัดโดยคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ณ มธ.ท่าพระจันทร์ นักธุรกิจและนักวิชาการอิสระ สฤณี อาชวานันทกุล รับหน้าที่บอกเล่าสิ่งที่สติกลิตส์ตั้งข้อสังเกตถึงปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจหรือแม้แต่การเมืองในสังคมอเมริกัน ตั้งแต่ 1.ความร่ำรวยของคนบางกลุ่มไม่ได้มาจากการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับสังคม ตามหลักการที่หากใครสร้างผลผลิตหรือผลิตภาพให้สังคมได้มาก เขาก็สมควรได้รับผลตอบแทนสูง
แต่สิ่งที่สติกลิตส์ค้นพบคือ “คนในภาคการเงินร่ำรวยแบบก้าวกระโดดกว่าภาคอื่นๆ ทั้งที่ไม่ได้ให้คุณค่าอะไรกับสังคมโดยรวม” อาทิ ตั้งแต่ทศวรรษ 1990s เป็นต้นมา ผลการศึกษามากมายชี้ว่า “ค่าตอบแทนผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญแวดวงการเงินไม่สามารถอธิบายได้ด้วยความสามารถของบุคคลนั้น” เช่น แม้ราคาหุ้นของบริษัทจะตกแต่ค่าตอบแทนของผู้บริหารก็ยังเพิ่มขึ้น หรือค่าตอบแทนนั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาหุ้นของบริษัท เนื่องด้วย“ผู้บริหารสามารถตั้งค่าตอบแทนตนเองได้” ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล
“ค่าตอบแทนซีอีโอ (CEO - ผู้บริหารใหญ่ขององค์กร) กับพนักงาน ในปี 1965 (2508) ต่างกันอยู่ 20 เท่าแต่ปี 2013 (2556) อยู่ที่ 300 เท่า ถ้าจะบอกว่าบริษัทเหล่านี้ผู้บริหารสร้างผลิตภาพมากมายให้บริษัท สติกลิตส์ตั้งข้อสังเกตว่ามันก็ไม่เห็นเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอะไรที่จะอธิบายได้ว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงระดับนี้ แล้วทำไมเกิดแต่ในอเมริกาไม่เกิดในประเทศอื่น? ในประเทศอื่นค่าตอบแทนของซีอีโอกับพนักงานก็ไม่ต่างกันสูงขนาดนี้” สฤณี กล่าว
ประการต่อมา 2.ความร่ำรวยของคนบางกลุ่มมาจากการ “วิ่งเต้น (Lobby)” ใช้เงินอุดหนุนนักการเมืองทุกพรรคเพื่อต่อยอดการผูกขาดให้เฉพาะพวกตนเท่านั้นที่จะรวยยิ่งๆ ขึ้นไป สติกลิตส์ยกตัวอย่างไว้มากมาย เช่น “การปล่อยให้มีการชี้ชวนผู้คนมาผ่อนบ้านทั้งที่รู้ว่าคนคนนั้นไม่มีกำลังเพียงพอ - การปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูง” ซึ่งเป็นไปได้หรือที่รัฐบาลสหรัฐจะไม่ทราบว่าคนทั่วไปที่รู้ไม่เท่าทันกำลังตกเป็นเหยื่อ แต่ภาครัฐก็กลับเลือกที่จะอยู่นิ่งๆ ไม่ทำอะไร “คนรวยจำนวนมากมีรายได้จากเงินปันผลในหุ้น” แต่ถูกเก็บภาษีจากส่วนนี้ในอัตราต่ำ
“กฎหมายสิทธิบัตร” ที่ถูกมองว่าเนื้อหาไม่ได้เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมแต่ทำให้รายเก่าที่อยู่มาก่อนหาประโยชน์ไปได้ตราบนานเท่านาน “ธนาคารกลางปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ธนาคารเอกชน แล้วธนาคารเอกชนก็มาปล่อยกู้ดอกเบี้ยสูงให้รัฐบาลทั้งชาติตนเองและชาติอื่น”เท่ากับนำเงินภาษีของทุกคนมาอุ้มบางธุรกิจใช่หรือไม่? “การออกกฎหมายห้ามรัฐบาลต่อรองราคายา” ทำให้การจัดซื้อยารักษาโรคโดยรัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก “การลดมาตรฐานความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม” บริษัทได้ลดต้นทุนแต่คนทั่วไปต้องเสี่ยงกับปัญหามลพิษ เป็นต้น
“ไม่ใช่ว่าอเมริกาจะไม่พยายามทำอะไรเลย ไม่ใช่ว่าจะไม่มีระบบกำกับเรื่องสิ่งแวดล้อมเลย แต่สติกลิตส์มองว่ามันเป็นระบบที่ค่อนข้างแพง คือพอเกิดปัญหาถึงได้พยายามไปฟ้องให้บริษัทรับต้นทุนหรือลงโทษ ซึ่งมันมีค่าใช้จ่ายสูงมาก แทนที่จะมองว่าทำอย่างไรที่จะควบคุมดูแล กำกับไม่ให้เขาก่อความเสียหายตั้งแต่ต้น ซึ่งน่าจะมีประสิทธิภาพดีกว่าและราคาไม่แพงกว่า” สฤณี ระบุ
ในสหรัฐยังมีเรื่องที่ “น่าคับแค้นใจ” สำหรับคนทั่วไปอีกประการหนึ่ง สฤณี เล่าต่อไปว่า ในปี 2010 (2553) เคยมีคดีฟ้องกันระหว่าง Citizen United กับ Federal Election Commission (สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง-กกต. ของสหรัฐ) แล้วศาลสูงสหรัฐตัดสินว่า “บริษัทมีสิทธิเท่าบุคคลคนหนึ่ง ดังนั้นบริษัทย่อมสามารถให้เงินสนับสนุนการหาเสียงของพรรคการเมือง-นักการเมืองได้อย่างไม่มีขีดจำกัดเช่นกัน”ทั้งๆ ที่บริษัทหรือองค์กรธุรกิจมีทุนมีทรัพยากรสูงกว่าคนธรรมดาสามัญทั่วไปหลายร้อยหลายพันเท่า
หลังมีคำพิพากษานี้สติกลิตส์ได้แต่บอกว่า “ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้า” เพราะมันได้ “บิดเบือน” หลักการประชาธิปไตย “1 คน 1 เสียง” ให้กลายเป็น“1 ดอลลาร์ 1 เสียง” ใครมีเงินมากกว่าก็มีสิทธิ์มีเสียงมากกว่า “ภาคธุรกิจจึงพากันอุดหนุนพรรคการเมือง เพื่อให้นักการเมืองที่มีอำนาจทั้งออกกฎหมายและแต่งตั้งผู้พิพากษา เอื้อประโยชน์ให้กับภาคธุรกิจได้ไม่รู้จบ” ความเหลื่อมล้ำ ช่องว่างรวย-จนในสังคมก็มีแต่จะถ่างกว้างไปเรื่อยๆ
“ในอเมริกามันน่าตกใจ สติกลิตส์มีตัวเลขว่าคนที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีในอเมริกาที่มาจากครอบครัวฐานะดีกว่า จะมีโอกาสมีรายได้มากกว่าคนที่เรียนดีกว่าที่มาจากครอบครัวฐานะแย่กว่า ผลของฐานะมันแรงมากจนต่อให้คุณเรียนเก่งหรือขยันเรียนมากๆ ก็อาจจะสู้คนที่เรียนเก่งไม่เท่าคุณแต่บ้านเขารวยกว่าไม่ได้” สฤณี ยกอีกตัวอย่าง
ทั้งหมดข้างต้นคือเรื่องเล่าจากประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก แต่ก็มีความเหลื่อมล้ำสูงมากเช่นกัน จนมีผู้กล่าวว่าการที่คนอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐแบบ “หักปากกาเซียน” นั่นเป็นเพราะชาวอเมริกันที่เป็นคนระดับกลางค่อนลงไปทางล่าง “สิ้นหวัง” กับนักการเมืองและกลไกภาครัฐที่ผ่านๆ มา อันมีแต่ทำให้คุณภาพชีวิตคนธรรมดาสามัญแย่ลง
เรื่องนี้น่าจะให้ข้อคิดกับสังคมไทย..ที่เป็นประเทศเหลื่อมล้ำสูงเช่นกันได้พอสมควร!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี