อาชีพใหม่มาแรง รับฝาก สว. (สูงวัย) พร้อมบริการอาหาร ขนม เสร็จสรรพ แถมมี WIFI เปลี่ยนการนอนอยู่บ้านเหงาๆ มาพูดคุยกับเพื่อนๆ แทน สนุกเพลิดเพลินพบปะเพื่อนใหม่พูดคุยไร้นินทา
สังคมไทยในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงจากการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ อันประกอบด้วยปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ลูก กลายมาเป็นครอบครัวเชิงเดี่ยว มีเพียงลำพังพ่อแม่ลูก ทำให้ผู้สูงอายุขาดความรักและการดูแลเอาใจใส่จากลูกหลาน ช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับผู้สูงอายุบางคนคือช่วงเวลาหลังเกษียณ บางคนยังไม่พร้อมจะเกษียณเพราะคิดว่าตนเองยังสามารถทำงานได้และทำได้ดีเหมือนเดิม แต่ลูกหลานเป็นห่วงไม่อยากให้ทำงานอีก ต้องการให้พักผ่อนเพราะได้ทำงานหนักมานานแล้ว
การที่ไม่ได้ทำงานที่เป็นกิจวัตรประจำวัน ไม่มีหน้าที่ความรับผิดชอบ เป็นเหตุให้ผู้สูงอายุมีความรู้สึกด้อยคุณค่า เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เสียใจ เบื่อหน่าย และแยกตัวออกจากสังคม แต่ถ้าพยายามมองในด้านบวก จะเห็นว่าช่วงเวลาหลังเกษียณเป็นโอกาสที่เราจะได้ลองทำกิจกรรมใหม่ๆ ทำงาน DIY (do it yourself) เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ หรือทำในสิ่งที่อยากทำเสมอมาแต่ไม่เคยมีเวลาทำเนื่องจากมีภาระหน้าที่การงาน ผู้ที่ไม่มีงานอดิเรก ไม่มีสิ่งที่ทำให้เกิดความรื่นเริงบันเทิงใจใดๆในชีวิตไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากหน้าที่การงาน จะปรับตัวได้ลำบากเมื่อเกษียณ
นางเลี่ยงไกว แซ่เลี่ยง อายุ 78 ปี อยู่บ้านเลขที่ 25 ถ.วีระพันธ์ อ.เบตง จ.ยะลา บอกว่า ภาวะเครียดตอนมีอายุมากขึ้นก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญซึ่งส่งผลต่อร่างกายและจิตใจ นำไปสู่การเกิดโรคต่าง ๆ ตั้งแต่ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคทางเดินอาหาร ฯลฯ ภาวะเครียดในผู้สูงอายุอาจเกิดจากสุขภาพที่ไม่แข็งแรงพอที่จะปฏิบัติภาระกิจต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้ด้วยตัวเอง มีความรู้สึกเหงา ว้าเหว่ เนื่องจากลูกหลานแยกย้ายกันไปมีครอบครัว มีปัญหาด้านการเงิน จากการที่เคยเป็นที่พึ่ง เป็นผู้นำให้กับผู้อื่น เคยเป็นที่ยอมรับและยกย่องในสังคมหรือในแวดวงธุระกิจการงาน กลับกลายมาเป็นภาระของครอบครัวและของผู้อื่น สมอง ความคิด ความจำที่เคยแจ่มใสเริ่มมีอาการเสื่อม เพื่อนฝูงที่ใกล้ชิดเริ่มล้มหายตายจากกันไป เหล่านี้ทำให้เกิดความเครียดและวิตกกังวล จนบางครั้งก็ท้อแท้ สิ้นหวัง และซึมเศร้าในที่สุด นางเลี่ยงไกว บอก
ต้องยอมรับว่า ในปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้านราว 2% ของจำนวนประชากรผู้สูงอายุทั้งประเทศ ซึ่งกลุ่มผู้สูงอายุติดบ้านจะมีอาการป่วยบ้าง แต่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้และในช่วงกลางวันมักต้องอยู่คนเดียว ไม่มีคนดูแล เนื่องจากลูกหลานออกไปทำงาน แต่ผู้สูงอายุกลุ่มนี้ไม่ต้องการที่จะไปอยู่ในสถานสงเคราะห์
และเมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่บ้านเลขที่ 59 ถ.วีระพันธ์ อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งบ้านดังกล่าวได้เปิดเป็น สถานรับฝาก สว. (สูงวัย) โดยเปิดให้บริการ ตั้งแต่เวลา 08.00-15.00 น. พร้อมบริการอาหารเช้า-เที่ยว กาแฟ น้ำชา โอวัลติน ของว่าง และที่ขาดไม่ได้ในสมัยนี้ก็คือ WIFI ชาร์จแบตมือถือ โดยคิดค่าบริการวันละ 300 บาท ชั่วโมงละ 60 บาทเท่านั้น เรียกว่าเป็นไอเดียใหม่ๆ ที่สามารารถสร้างอาชีพใหม่ที่โดนใจชาวสูงวัยสุดๆ เพราะนอกจากจะได้ออกมานอกบ้าน พบปะพูดคุยกับคนอื่นๆ ยังมีอาหาร ขนม พร้อมเกมส์เพื่อพัฒนาด้านสมองอีกด้วย โดยมีคุณพูลไท ลวากร อายุ 55 ปี เป็นเจ้าของและผู้ดูแล
คุณพูลไท กล่าวว่า เตรียมที่จะจัดตั้งสถานดูแลผู้สูงอายุในเวลากลางวัน (Day Care) โดยใช้พื้นที่บ้าน เพื่อเป็นสถานที่ต้นแบบในการดูแลผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน โดยจะเป็นลักษณะการดูแลแบบเช้าไปเย็นกลับ ลูกหลานสามารถมาส่งในตอนเช้าและมารับกลับในตอนเย็นเหมือนกับสถานดูแลเด็กเล็ก ซึ่งสถานรับฝาก สว. (สูงวัย) จะมีบุคลากรที่เกษียณอายุราชการจากสาธารณสุข มาดูแล ผู้สูงอายุ โดยการดูแลใช้ผู้ดูแล 1 ต่อ 3 คน ทั้งการให้นำทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน หากเป็นผู้ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพก็จะช่วยเหลือดูแลแก้ไขให้ โดยได้มีการประสานชุดหน่วยกู้ชีพในพื้นที่มาสแตนบาย หากเกิดอะไรขึ้นกับผู้สูงวัย
โดยเมื่อผู้สูงวัยเข้ามารับบริการ ก็จะได้รับการบริการ เช่น ผู้ที่เดินไม่ได้ก็จะช่วยกายภาพบำบัด ดูแลสุขภาพจิตใจไม่ให้เศร้าหมอง ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของสถานดูแลผู้สูงอายุต้นแบบดังกล่าว จะเป็นผู้สูงอายุที่ติดบ้าน ซึ่งเวลากลางวันต้องอยู่บ้านคนเดียว และเป็นชนชั้นกลางที่ลูกหลานมีกำลังทรัพย์พอที่จะจ่ายค่าดูแล เพราะจะมีการเก็บเป็นรายวันและรายชั่วโมง โดยรายวันจะคิดวันละ 300 บาทโดยเริ่มตั้งแต่เวลา 08.00 น.ไปจนถึง 15.00 น.และรายชั่วโมงกรณีลูกหลานไปประชุม ธุระด่วน คิดอัตราชั่วโมงละ 60 บาท ส่วนกลุ่มที่ร่ำรวยมีกำลังทรัพย์มากก็จะไม่รับเข้าดูแลในสถานดูแลนี้ เนื่องจากมีกำลังในการจัดหาผู้ดูแลส่วนตัวเบื้องต้นคาดว่าจะรองรับได้ไม่เกิน 15 คน คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้เร็วๆนี้ และได้เปิดมาแล้วกว่า 2 ปี ที่ผ่านมาได้ถอดบทเรียนและจัดทำเป็นมาตรฐานในเรื่องสถานดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งภาคเอกชนสามารถนำไปดำเนินการต่อได้ โดยในแนวทางมาตรฐานจะมีการระบุถึงส่วนประกอบที่จะต้องมีภายในสถานดูแลผู้สูงอายุ และข้อควรระมัดระวังต่างๆ โดยหากทำได้ตามมาตรฐานที่กรมกำหนด ก็จะออกเป็นเอกสารรับรองมาตรฐานให้สถานดูแลผู้สูงอายุนั้นๆ เพื่อเป็นการการันตีให้กับประชาชน
ซึ่งธุรกิจงานดูแลผู้สูงวัยในปัจจุบัน กำลังเป็นที่นิยม เพราะบุตร หลาน หลายคนไม่ว่างที่จะดูแลในช่วงกลางวัน เนื่องจากต้องออกไปทำงานข้างนอก เลยต้องหวังพึ่ง สถานรับฝาก สว. (สูงวัย) เพื่อให้ดูแลผู้สูงวัย แทน แต่สำหรับผู้สูงอายุที่เกษียณหรือว่างไม่มีอะไรทำ เพราะลูก ๆ ออกไปทำงาน จะให้นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บ้านเฉย ๆ พวกท่านก็คงต้องเหงากันเป็นธรรมดา จึงได้มาใช้บริการสถานรับฝาก สว.(สูงวัย) คุณพูลไท กล่าว
นอกจากนี้ ทางสถานรับฝาก สว. (ผู้สูงวัย) ยังเตรียมที่จะจัดหลักสูตรอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุ เพื่อให้บุคคลทั่วไปที่สนใจเข้ารับการอบรม เพื่อที่จะเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีการรับรองการผ่านการอบรม โดยจะมีการอบรมการดูแลทั้งในเรื่องการป้องกันการติดเชื้อในผู้สูงอายุ และการป้องกันการสำลักอาหาร เป็นต้น
คุณพูลไท ลวากร บอกอีกว่า เป็นความท้าทายสังคมไทยอย่างมากกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คาดว่าในปี 2563-2573 ประเทศไทยจะมีประชากรผู้สูงอายุ 11 ล้านคน หรือคิดเป็น 17% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ สวนทางกับอัตราเพิ่มของเด็กเกิดใหม่และคนวัยแรงงานที่ลดลง และไม่เพียงเป็นประเทศที่จะมีประชากรสูงวัยขึ้นเท่านั้น แต่ประชากรที่สูงอายุอยู่แล้วก็จะกลายเป็นสูงวัยมาก หรือเข้าสู่ภาวะชราภาพขึ้นไปด้วย ซึ่งหมายถึงโอกาสการเจ็บป่วย หรือมีภาวะทุพพลภาพก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
ในเชิงวิชาการมีหลายสถาบันการศึกษา กำลังศึกษา คิดหาแผนรับมือกับสังคมสูงวัยของประเทศ แต่ในแง่ของตัวบุคคล ว่ากันตามจริง สถานการณ์ การหาทางหนีทีไล่ และเตรียมตัวรับสังคมผู้สูงอายุ ยังตื่นตัวและกระจุกอยู่ที่ผู้ที่กำลังเข้าสู่ภาวะสูงวัย หรือเข้าสู่ช่วงสูงวัยแล้วจริงๆ เท่านั้น แต่สำหรับผู้อยู่ในวัย 30 กว่าๆ ในวันนี้ ส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยคิดเรื่องการเตรียมการรับมือกับสภาพสูงวัยของตนเองในอนาคต
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ชีวิตสูงวัยมีความซับซ้อนที่เรื่องราวมากมายที่ต้องบริหารจัดการ เพราะชีวิตสูงวัยก็เหมือนการเข้าสู่วงรอบใหม่ของวัฏจักรชีวิต เหมือนเราก้าวพ้นจากวัยเด็กเป็นวัยรุ่น จากวัยรุ่นเป็นวัยหนุ่มสาว จากวัยหนุ่มสาวเป็นวัยทำงาน และจากวัยทำงานก็จะเป็นวัยของผู้สูงวัย
คำว่า "สูงวัย" ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ความเสื่อมถดถอยทางร่างกายเท่านั้น หรือความสามารถบางอย่างที่เคยมีในวัยหนุ่มสาวจะหดหายไป โดยเฉพาะความสามารถในการช่วยเหลือตัวเอง ทั้งการเดินเหิน การออกท่องเที่ยวเดินทาง ที่จะไม่เหมือนเดิม แต่ยังหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม สังคมรอบตัวอีกด้วย
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในแง่กายภาพ "บ้าน" ที่เคยอยู่อาศัยมา 30-40 ปี อาจไม่สามารถตอบโจทย์กับชีวิตในวัยนี้ ยิ่งถ้าเจ็บป่วยถึงขั้นเดินเหินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น ประตู ทางเดิน หรือห้องน้ำของบ้านเดิมที่เคยอยู่ อาจกลายเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาการขาดคนดูแลที่หายากขึ้นทุกวันอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จึงได้เปิดสถานรับฝาก สว. (ผู้สูงวัย) เพื่ออีกทางเลือกให้กับคนทำงานที่ไม่อยากปล่อยให้ผู้สูงวัย อยู่เพียงลำพัง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี