“ความเหลื่อมล้ำด้านที่ดิน” เป็นอีกปัญหาสำคัญที่ตอกย้ำภาพ “รวยกระจุกจนกระจาย” ในสังคมไทยได้เป็นอย่างดี กล่าวคือคนจำนวนน้อยสามารถครอบครองที่ดินได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ ซ้ำร้ายในบรรดาที่ดินเหล่านั้นยังเป็นการครอบครองในลักษณะ “กักตุนไว้เพื่อเก็งกำไร” รอวันขายต่อเมื่อราคาสูงขึ้นโดยไม่ได้สร้างผลผลิตอะไรจากที่ดินนั้นให้กับสังคม ซึ่งเข้าข่ายการใช้ทรัพยากรอย่างไม่คุ้มค่า
ด้วยเหตุนี้จึงมีความพยายามใช้ “มาตรการทางภาษี”เพื่อหวังให้บรรดานักกักตุนที่ดินไว้เก็งกำไรยอมปล่อยที่ดินออกมาให้ผู้อื่นได้ใช้ทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์กว่าดังล่าสุดที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปเมื่อ 16 พ.ย. 2561 ที่ผ่านมาโดยความคาดหวังต่อกฎหมายฉบับนี้นอกจากจะลดการกักตุนที่ดินแล้ว ยังต้องการให้เป็นรายได้สำคัญขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ด้วย
17-18 พ.ย. 2561 หรือหลังจากวันที่ สนช. ผ่านกฎหมายภาษีที่ดินฯ สดๆ ร้อนๆ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) มีการจัดมหกรรม “ที่ดินคือชีวิต ฝ่าวิกฤติที่ดินไทย” โดยภายในงานมีการเสวนาเรื่อง “โฉนดชุมชนธนาคารที่ดิน ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า : ทำอย่างไรจะไปให้ถึงเป้าหมาย” ซึ่งนักวิชาการที่ศึกษาปัญหาการกระจุกตัวของที่ดินอย่าง ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่ากฎหมายฉบับ สนช. อาจจะไปไม่ถึงตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้
เช่น ที่บอกว่าจะเพิ่มรายได้ให้ อปท. ให้สามารถยืนอยู่ได้อย่างเข้มแข็งนั้นจะทำได้จริงหรือไม่เพราะมีการยกเว้นไว้มากมาย อาทิ บ้านหลังแรกไม่เกิน 50 ล้านบาท หรือที่ดินเกษตรไม่เกิน 50 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษี ทั้งที่การทำกฎหมายภาษีที่ดินนั้นไม่ควรมีการยกเว้น หรือหากจำเป็นต้องยกเว้นก็ต้องยกเว้นให้น้อยที่สุด ดังนั้นหากจะดูแลคนที่อาจไม่มีกำลังจ่ายภาษี ตัวเลข 50 ล้านบาท ที่ตั้งไว้คงไม่น่าจะเหมาะสม
ส่วนเป้าหมายในการกดดันให้ผู้ครอบครองที่ดินจำนวนมากๆ ยอมปล่อยที่ดินออกมานั้น ต้องดูกันต่อไปว่ากฎหมายมีช่องโหว่แค่ไหน ซึ่งไม่ใช่การทำผิดกฎหมายแต่เป็นการเลี่ยงกฎหมาย ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้วจะมีการติดตามตรวจสอบปัญหาต่างๆ มากน้อยเพียงใด อีกประการหนึ่งคือกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นมีอัตราภาษีที่ดินกรณีที่รกร้างว่างเปล่า ที่ดินประเภทนี้เสียภาษีสูงกว่าประเภทอื่นๆ แต่เพดานสูงสุดก็ยังไม่เกินร้อยละ 3 อาจไม่ทำให้ผู้ถือครองยอมปล่อยออกมา
“ใครเป็นผู้ครอบครองที่ดินไว้เก็งกำไร เขาก็จะทราบว่าราคาที่ดินเพิ่มเฉลี่ยทั้งประเทศเฉลี่ย 4-5% อันนี้ไม่รวมกรณีมีสาธารณูปโภคของรัฐเข้ามา ซึ่งราคามันอาจปรับเพิ่มเท่าตัวไปเลยในพริบตาก็ได้ ถ้าดูอัตราภาษีแบบนี้ ผลต่อเนื่องในการกระจายการถือครองที่ดินคงจะค่อนข้างน้อย แต่อาจจะกระตุ้นให้มีคนใช้ประโยชน์ในที่ดินได้มากขึ้นบ้าง ส่วนผลด้านการกระจายการถือครองที่ดินอาจต้องดูในระยะยาว” อาจารย์ดวงมณี กล่าว
นักเศรษฐศาสตร์จาก ม.ธรรมศาสตร์ ผู้นี้ ยังอธิบายด้วยว่า “ส่วนกฎหมายภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้าที่ภาคประชาชนเสนอนั้นมีลักษณะที่ต่างกันออกไป กล่าวคือจะเน้นเก็บโดยคิดจากจำนวนการถือครองที่ดิน” เช่น ในภาคเกษตรหรือภาคอุตสาหกรรมจากที่ทำการศึกษามาพบว่ามักถือครองที่ดินไม่เกิน 50 ไร่ ดังนั้นหากใครครอบครองเกิน 50 ไร่ ก็จะต้องจ่ายภาษีในส่วนนี้ เพราะในยุคปัจจุบันการจำกัดการถือครองที่ดินโดยตรงคงไม่ใช่มาตรการที่เหมาะสม
ขณะที่ บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงข้อท้าทายสำคัญ “จะทำอย่างไรให้ปัญหาการกระจุกตัวและการเก็งกำไรที่ดินถูกมองว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว?” เพราะที่ผ่านมาแม้จะมีการนำเสนอข่าวเป็นระยะๆ แต่ไม่ค่อยได้รับความสนใจเป็นวงกว้าง กลุ่มที่ขับเคลื่อนอย่างจริงจังยังเป็นหน้าเดิมๆ เช่น สมัชชาคนจน ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-move) ทำให้การแก้ปัญหาไม่มีความคืบหน้า
เช่นเดียวกับ ผศ.ดร.จิตติ มงคลชัยอรัญญา คณบดีวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่กล่าวว่า“เราถูกฝังหัวกันมาให้เชื่อว่าเมื่อมีกฎหมายก็ไม่สามารถแตะต้องแก้ไขอะไรได้ แม้ความเป็นจริงกฎหมายบางอย่างจะไม่เป็นธรรมก็ตาม” รวมถึงเรื่องที่ดินด้วย ประเด็นนี้จึงไม่ถูกขับเคลื่อนอย่างจริงจังผ่านกลไกต่างๆ ของระบบราชการและพรรคการเมือง
“คนชั้นกลางส่วนใหญ่ไม่มีใครสนใจ เพราะเขารู้สึกยอมจำนนว่าถ้าฉันไม่มีโอกาสซื้อที่ดิน ไม่ว่าที่ดินจะแพง ใครจะมีที่ดินเยอะ อย่างเก่งก็แค่ด่าแล้วก็แล้วกันไป ไม่มีใครพยายามขับเคลื่อน แล้วทุกคนก็ไปพูดว่านักการเมืองก็เหมือนกัน นักการเมืองหลายๆ พรรคก็โดนอำนาจทุนนิยมบีบหมด ก็เขาอยู่ในทุกพรรค เขาสนับสนุนทุกพรรค จะทำอะไรก็ได้ กลไกเศรษฐกิจก็อยู่ในมือเขาหมด แทรกซึมไปหมดจนเราไม่มีโอกาสที่จะสู้” อาจารย์จิตติ กล่าว
ภายในงานยังมีอีกเวทีเสวนาหนึ่งคือ “สังคมไทยจะก้าวพ้นความเหลื่อมล้ำสู่ความเป็นธรรมในที่ดินอย่างยั่งยืนได้อย่างไร” โดยในเวทีนี้ ผศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชาอาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า “ต้องเลิกคิดว่าที่ดินเป็นสินค้า” เพราะหากยังคิดแบบดังกล่าวอยู่ที่ดินย่อมยังถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์สามารถนำไปเก็งกำไรได้ แต่ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น ใช้เวลา 10- 20 ปี เพื่อให้ผู้ถือครองที่ดินในจำนวนมากๆ ได้ปรับตัวและไม่เกิดแรงต้าน
นอกจากนี้ “ภาครัฐสามารถเริ่มก่อนได้ทันที” เพราะหน่วยงานของรัฐหลายแห่งก็มีที่ดินในความดูแลของตนอยู่ แต่ที่ผ่านมาคือ “แม้เป็นหน่วยงานของรัฐแต่ก็ยังมุ่งกำไรสูงสุดอย่างเอกชน” เช่นกรณีชาวบ้านต้องการเช่าอยู่อาศัยระยะยาว มีเอกสารเช่าถูกต้องเพื่อให้เกิดความมั่นคงในชีวิต แต่ผู้บริหารอยากนำไปให้กลุ่มทุนเช่ามากกว่าเพราะจะได้ค่าเช่าสูงกว่า เป็นต้น
“คนชั้นกลาง มนุษย์เงินเดือนทั้งหลายเราซื้อที่อยู่อาศัยในราคาแพงมาก กว่าจะผ่อนหมด แล้วคนที่ผ่อนไม่หมดเพราะเกิดวิกฤติในชีวิต คุณตกงานคุณก็โดนยึดบ้าน ไม่ใช่เฉพาะคนจนเท่านั้นที่เดือดร้อน โครงสร้างนี้ทำให้ทุกคนเดือดร้อน แม้แต่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ก็ยังบอกว่าทำบ้านแพงขึ้นทุกปีเพราะที่ดินแพง เราต้องทำลายระบบนี้ เลิกเก็งกำไร คุณมีเงินเยอะเอาไปลงทุนอย่างอื่น ไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม” อาจารย์บุญเลิศ กล่าวย้ำ
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี