คนเรามีความแตกต่างกันที่ศีลธรรม วัดความสูงต่ำของคนด้วยศีลธรรม ผู้ที่มีศีลมากกว่าเป็นผู้ที่สูงกว่า ผู้ที่มีศีลน้อยกว่าก็ให้ความเคารพ แม้จะเป็นพ่อแม่ ถ้าลูกบวชเป็นพระพ่อแม่ก็จะกราบลูก กราบเพราะศีล ความสูงความประเสริฐของคนไม่ได้อยู่ที่ฐานะ ไม่ได้อยู่ที่อายุ ไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่ง แต่ก็ให้เกียรติกันตามสมมุติ มีหัวหน้ามีลูกน้อง ลูกน้องก็ต้องเคารพหัวหน้า เพราะหัวหน้าเป็นคนให้เงินเดือน ไม่ได้เคารพเพราะมีศีลมากกว่า เพราะไม่รู้ว่าใครมีศีลมากน้อยกว่ากัน
ถ้าหัวหน้าชอบกินเหล้าแต่ลูกน้องไม่ชอบ หัวหน้าชอบพูดปดมดเท็จแต่ลูกน้องไม่ชอบ ถ้าวัดตามหลักศีลธรรมแล้ว ลูกน้องก็ต้องสูงกว่าหัวหน้า แต่ในโลกสมมุติจะไม่ถือหลักนี้ จะถือหลักว่าใครมีตำแหน่งสูงกว่า ก็ต้องให้ความเคารพ เช่นทหารตำรวจ จ่าก็ต้องเคารพนายร้อย นายร้อยก็ต้องเคารพนายพัน นายพันก็ต้องเคารพนายพล แต่คนที่มียศสูงๆแต่ไม่มีศีลธรรมก็มีเยอะแยะไป ไม่น่าเคารพเลื่อมใส แต่ก็ต้องเคารพกันไปตามกฎของสมมุติ เป็นเหมือนโรงละคร
โลกเรานี้เป็นเหมือนโรงละครโรงใหญ่ แต่ละคนก็มีบทบาทของตน เราจึงต้องแยกแยะความสูงต่ำไว้เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของสมมุติและส่วนของศีลธรรม ส่วนของสมมุติก็แบ่งตามตำแหน่งตามยศต่างๆ ส่วนของศีลธรรม ก็แบ่งตามศีลตามคุณธรรมที่มากน้อยต่างกัน เช่นพระโสดาบันก็ต่ำกว่าพระสกิทาคามี พระสกิทาคามีก็ต่ำกว่าพระอนาคามี พระอนาคามีก็ต่ำกว่าพระอรหันต์ ทางธรรมจะวัดกันอย่างนี้ ความสูงต่ำของทางโลกไม่จีรังถาวร ไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริง คุณค่าที่แท้จริงอยู่ที่ความสูงต่ำในคุณธรรม ผู้ที่สูงในทางธรรมจะไม่ถือว่าตนสูง ไม่ได้อยากให้ผู้อื่นแสดงความเคารพนับถือ ยิ่งสูงยิ่งไม่อยาก จนไม่มีความอยากเลย ต่างกับทางโลก ยิ่งสูงเท่าไหร่ยิ่งอยากให้แสดงความเคารพนับถือมากยิ่งขึ้น เพราะทางโลกเป็นทางของกิเลส ของความหลงในอัตตาตัวตน หารู้ไม่ว่าไม่มีตัวตน
ในทางธรรมนี้เมื่อปฏิบัติไป ก็จะเข้าใจความเป็นตัวตนมากขึ้นไปเรื่อยๆ จะรู้ว่าตัวตนเป็นความหลงที่ติดมากับความรู้สึกนึกคิด คิดว่าตัวรู้คือจิตนี้เป็นตัวเป็นตน แต่ความจริงจิตก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง เหมือนกับดินน้ำลมไฟ เมื่อมารวมกันก็ปรากฏเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา สัตว์ก็มีธาตุ 4 และธาตุรู้มารวมกัน มนุษย์ก็มีธาตุ ๔ และธาตุรู้มารวมกัน มนุษย์และสัตว์ต่างกันก็ตรงที่ศีลธรรม สัตว์แทบจะไม่มีศีลธรรมเลยคือศีล 5 มนุษย์มีวิสัยที่จะรักษาศีล 5 ได้ เพราะมีสติปัญญาที่จะรู้ว่าศีล 5 มีอะไรบ้าง มีความสำคัญอย่างไร
แต่สัตว์เดรัจฉานไม่มีสติปัญญาที่จะรู้คุณค่าของศีล 5 จึงต้องทำผิดศีล เพราะคิดว่าเป็นการอยู่รอดของเขา เช่นเวลาหิวก็ต้องกินสัตว์เล็กสัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ก็กินสัตว์ที่เล็กกว่าเป็นอาหาร แต่มนุษย์สามารถแยกแยะได้ ว่าสามารถดำรงชีพอยู่ได้โดยไม่ต้องฆ่าผู้อื่น อาหารของมนุษย์นี้ถ้าไม่ใช่เป็นสัตว์ที่ตายแล้ว ก็มีอย่างอื่นที่รับประทานได้ พวกผักพวกข้าวต่างก็เป็นอาหารได้
เรื่องทั้งหมดนี้อยู่ในธาตุรู้คือจิต ถ้ามีความหลงก็จะไม่รู้ว่าเป็นอะไร จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของความโลภของความอยาก อยากจะได้อะไรอยากจะทำอะไรอยากจะมีอะไร ก็จะแสวงหามาด้วยวิธีการต่างๆ ถ้าหามาโดยวิธีที่สุจริตไม่ได้ ก็จะหามาโดยวิธีที่ทุจริต จิตที่มีความรู้สึกสำนึกคิด ว่าการที่จะอยู่อย่างมีความสุขอยู่อย่างเจริญก้าวหน้านั้น ต้องตั้งอยู่ในศีลในธรรม ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ก็จะบำเพ็ญรักษาศีล มีความเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สงสารผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ถ้าพอจะช่วยเหลือกันได้ก็จะช่วย เพราะทำแล้วมีความสุข จะพัฒนาตนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เป็นพระพุทธเจ้า
ในบางภพบางชาติ ถ้าเป็นบุญเป็นกุศลเป็นโชควาสนาก็จะได้พบกับพระพุทธเจ้าหรือได้พบกับพระพุทธศาสนา อย่างพวกเราชาตินี้เราก็โชคดีที่ได้มาพบกับพระพุทธศาสนา ได้พบกับพระสาวกของพระพุทธเจ้า ที่สอนให้ไปในทางที่ถูกที่ชอบที่ควร ซึ่งเป็นทางที่เรากำลังไปอยู่แล้ว เราชอบเรายินดีที่จะไปทางนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ยังไปไม่ได้ไกล และยังไม่รู้วิธีที่จะพาให้ไปให้ไกลที่สุด พอได้เจอพระสาวกเจอพระศาสนาของพระพุทธเจ้า ก็ช่วยให้การปฏิบัติของเราก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ดีกว่าปฏิบัติไปตามความรู้ที่มีอยู่ ที่ต้องค่อยๆคลำทางไปทีละเล็กทีละน้อย เหมือนกับมีคนขับรถผ่านมาแล้วจอดรับเรา ขึ้นมาซิ ไปด้วยกัน นั่งรถไปจะเร็วกว่าเดินไปเอง การได้พบกับพระพุทธศาสนาก็เหมือนได้พบคนที่ขับรถ ที่มีความเมตตาสงสาร เห็นเราเดินแบกข้าวของ เดินกลางแดดกลางฝน เหนื่อยยากลำบากลำบน ก็ชวนให้นั่งรถไปกับเขา
นี่คือความเมตตาของพระพุทธเจ้า ที่ทรงเป็นเหมือนเจ้าของรถ เห็นพวกเราเดินอยู่กลางแดด ก็สงสาร ไม่ใจแคบ ก็จอดรถรับ แต่พวกเราไม่ค่อยชอบขึ้นกัน กลัวจะต้องเสียค่ารถ เพราะต้องถือศีล 8 ต้องไปอยู่วัด ต้องจากสามีจากภรรยา ไม่ได้ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ ไม่ได้ทำตามใจชอบ ต้องปรับตัวปรับใจ ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน จึงควรตักตวงโอกาสที่ดีนี้ ไม่มีโอกาสอย่างนี้อีกแล้ว นานๆจะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง ผ่านไปแล้วก็ต้องคลำทางไปเอง
พอโอกาสหน้าได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก พระศาสนาก็อาจจะหมดไปแล้ว จะไม่มีใครรู้เรื่องพระศาสนา อาจจะมีแต่คัมภีร์เก็บไว้ในตู้ แต่ไม่มีใครอ่าน ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครอธิบาย ต้องคลำทางไปเอง ตอนนี้ยังมีโอกาสที่จะศึกษา จึงควรฟังเทศน์ฟังธรรมไปเรื่อยๆ ฟังแล้วก็นำเอาไปใคร่ครวญพิจารณาอยู่เรื่อยๆ เพราะนี่คือบ่อเกิดของปัญญา ที่จะพาเราไปสู่มรรคผลนิพพาน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี