กรณีเครนก่อสร้างอาคารคอนโดมิเนียมย่านพระราม 3 พังถล่มลงมาเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2562 เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นยังคงถามหาความรับผิดชอบกันว่า “ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น” กับชีวิตและทรัพย์สิน เกี่ยวกับกรณีเหล่านี้ ด้านช่องโหว่ของกฎหมายต่างๆ มีอยู่มากน้อยหรือไม่ แล้วจะร่วมกันแก้ไขปัญหาไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกได้อย่างไร
“สำหรับกรณีเครนถล่ม..ตามกฎกระทรวงสาขาวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมสาขาโยธา จะเข้าข่ายลักษณะโครงสร้างที่เป็นปล่อง และมีความสูงเกิน 6 เมตร จึงเข้าข่ายว่าเป็นวิศวกรรมควบคุม ดังนั้นการติดตั้งหรือการต่อเติมของความสูงเครน จึงต้องมีวิศวกรสาขาโยธามากำกับดูแล” กรณีที่เครนถล่มลงไปนั้น จะต้องมาทำการตรวจสอบให้ได้ว่า ในขณะเกิดเหตุมีวิศวกรโยธา คนใดที่ดูแลในเรื่องการติดตั้งเครนนี้หรือไม่อย่างไร โดยจากการตรวจสอบระดับหนึ่งแล้ว พบว่า จากลักษณะการพังทลายน่าจะเกิดจากการเสียการทรงตัวของเครน
ซึ่งโดยปกติแล้ว “เรื่องการติดตั้งและการต่อเติมเครนจะต้องมีคู่มือให้ปฏิบัติ” ที่บอกว่าจะให้มีการติดตั้งอุปกรณ์ชิ้นใดก่อนหลัง ต้องมีน้ำหนักถ่วงตรงจุดไหน ถ้าทำไม่ถูกขั้นตอนอาจทำให้ตัวเครนเสียสมดุล และทำให้เกิดการพังถล่มลงได้ กรณีเรื่องเครนนี้จึงจะต้องมีวิศวกรมากำกับการดูแลการทำงานของแรงงานให้เป็นไปตามคู่มือ ที่ทางผู้ผลิตได้กำหนด
“จากกรณีเครนถล่มในบ้านเราที่มิได้เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นบ่อยขึ้น ประกอบกับกรณีเครนถล่มในต่างประเทศ มีกรณีที่เกิดขึ้นให้เห็นอยู่บ่อย พอสรุปสาเหตุที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่แล้ว จากสถิติที่รวบรวม 1.การถล่มที่เกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนติดตั้งเครนจากทั่วโลก มีอยู่ประมาณ 42% 2.การถล่มที่เกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนการใช้งานเครน เช่น การยกของ จนเกินน้ำหนักพิกัด ประมาณ 27% และ 3.ถล่มจากการใช้งานแบบไม่ถูกวิธี ประมาณ 20% หรือรวมแล้วสาเหตุของเครนถล่มส่วนใหญ่มาจากคน”
จึงสรุปได้ว่าปัญหาเครนถล่มยังพอที่จะมีแนวทางแก้ไขได้อยู่ เพราะว่าเป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาที่คนเป็นหลัก อย่างกรณีของ “วิศวกรที่เป็นผู้ควบคุม ที่จะต้องประจำอยู่ ณ จุดนั้นตลอดระยะเวลาที่มีการก่อสร้างเกิดขึ้น ในขณะที่คนงานเข้าไปทำงาน วิศวกรจะต้องอยู่ดูแลควบคุมทุกครั้งทุกเวลา ตามปกติของกระบวนการทำงาน” ถ้ายิ่งเป็นกระบวนการที่มีความเสี่ยง เช่น ช่วงในระหว่างการตอกเครน เช่นนี้ ถือว่ามีความเสี่ยงแน่นอน กรณีนี้จะต้องมีวิศวกรประจำอยู่ด้วย
เพราะแรงงานเองไม่ทราบว่าต้องต่ออุปกรณ์อะไร อย่างไร จึงต้องมีวิศวกรที่มีความรู้และความเข้าใจ มาดูแลกำกับเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า งานได้ดำเนินการไปตามที่คู่มือระบุอย่างถูกต้อง “จุดสำคัญที่ต้องมีการพิจารณาถึงวิศวกรที่ดูแล เนื่องจากในกรณีเครนถล่มนี้ เพื่อพิจารณาดูว่าการก่อสร้างดังกล่าวจะมีวิศวกรแยกออกเป็น 2 ส่วนด้วยหรือไม่” หรือเป็นวิศวกรคนดูแลคนเดียวกัน คือ มีวิศวกรควบคุมก่อสร้างอาคารสร้างตึกใหญ่ แล้ว และ มีวิศวกรที่เข้ามาดูแลเรื่องการประกอบการติดตั้งเครนด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ กรณีที่เกิดขึ้นและเกี่ยวของกับทางสภาวิศวกร คือ “ทางสภาวิศวกรจะมีจดหมายไปถึงยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอทราบความชัดเจนของรายชื่อวิศวกรที่เกี่ยวข้องทั้งหมด” ทั้งที่ก่อสร้างตึกและติดตั้งเครน เพื่อพิจารณาในภาพรวมและมีการเชิญตัววิศวกรที่เกี่ยวข้อง เข้ามาไต่สวน เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “จรรยาบรรณ” หากมีรายชื่ออยู่แต่ไม่อยู่ในระหว่างเกิดเหตุ ถือว่าเป็นการละเว้นหน้าที่ปฏิบัติ
“ตามมาตรฐานจรรยาบรรณวิชาชีพ ทั้งวิศวกรที่เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างใหญ่ กับวิศวกรผู้ควบคุมการติดตั้งเครน จะสามารถเป็นคนควบคุมคนเดียวกันได้หรือไม่ หากมีความรับผิดชอบได้เพียงพอ ก็สามารถเป็นคนเดียวกันได้ เพราะว่าไม่ได้มีข้อห้ามไว้ แต่ก็จำเป็นต้องดูในข้อเท็จจริงของการปฏิบัติงานด้วย ว่ามีบริษัทที่รับผิดชอบในเรื่องการรับเหมาสร้างตึก และ มีอีกบริษัทที่เข้ามารับจ้างการทำติดตั้งเครน เช่นนี้ ต้องพิจารณาว่า วิศวกรจะเป็นคนเดียวกัน หรือเป็นคนละส่วนกัน”
สำหรับเหตุการณ์เครนถล่มย่านพระราม 3 ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมด้วยกัน 5 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บด้วยนั้น กรณีที่เกิดขึ้นแบบนี้ วิศวกรจะต้องกำกับดูแล “โทษหนักที่สุดของวิศวกรเมื่อมีกรณีความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินแบบนี้ ถึงแม้ว่าเป็นวิศวกรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักวิชาและมีผู้เสียชีวิตบาดเจ็บจำนวนมาก จะมีโทษได้และโทษสูงสุดคือการเพิกถอนใบอนุญาต” โดยโทษเรื่องการเพิกถอนใบอนุญาตนั้น เป็นเรื่องของจรรยาบรรณ จะดำเนินการโดยสภาวิศวกร
นอกจากนี้ “วิศวกรยังจะต้องมีโทษอื่นๆ อีก ว่าถ้ามีผู้เสียชีวิตและมีผู้บาดเจ็บ ก็จะมีคดีอาญาและคดีแพ่งอีก และถ้ามีการพิสูจน์แล้วทำผิดจริง จะมีโทษจำคุก และมีค่าเสียหายที่จะต้องจ่ายให้กับญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตด้วย” ส่วนกรณีที่วิศวกรมีความผิดสูงสุด คือถูกเพิกถอนใบอนุญาตแล้วจะสามารถกลับมามีใบอนุญาตเหมือนเดิมในภายหลังได้หรือไม่นั้น ถ้าเป็นกรณีที่มีความผิดชัดเจน โอกาสที่จะได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรกลับคืนมานั้น คงเป็นไปได้ยาก
“แม้ในระเบียบของสภาวิศวกร ได้เปิดช่องไว้ว่าถ้าพ้นระยะเวลา 5 ปีไปแล้ว ให้มีสิทธิ์มาขอรับคืนใบอนุญาตได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ทางสภาวิศวกร จะพิจารณาให้ทุกกรณี ทางสภาวิศวกรจะต้องตรวจสอบดูก่อนว่า พฤติกรรมของวิศวกรท่านนั้น ว่าได้รู้จักสำนึกในความผิดทางจรรยาบรรณแล้วหรือไม่ แล้วโทษที่ทำไปไม่ได้รุนแรง ทางสภาวิศวกรจะพิจารณาคืนใบอนุญาตให้ได้ ถ้าพิจารณาแล้วว่ายังไม่มีความสำนึก หรือโทษที่กระทำนั้นหนักและสาหัสเหลือเกิน และยังมีความรู้ไม่เพียงพอ ก็อาจจะไม่ให้ใบอนุญาตอีก มีผลให้ไม่มีสิทธิเป็นวิศวกรได้อีกต่อไป”
ประเด็นต่อมา “หากเป็นกรณีการใช้เครนเก่าหรือเครนมือสอง แล้วจะมีผลต่อการติดตั้งพังถล่มหรือไม่” ตามปกติการใช้เครนมักจะไม่ได้ใช้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นอยู่แล้ว “เครนมีการใช้ประกอบการติดตั้งกันหลายๆ ครั้ง ดังนั้นเมื่อมีการใช้ซ้ำหลายครั้ง จึงจำเป็นต้องมีวิธีการดูแลรักษาที่เพียงพอ” เพราะว่าประกอบทำขึ้นจากเหล็กและโลหะจึงมีโอกาสที่จะเกิดสนิม เกิดการเสื่อมสภาพ เกิดการบิดเบี้ยวงอ
จึงต้องมีการตรวจสอบอุปกรณ์วัสดุต่างๆ ให้มีความพร้อม “การใช้เครนมือสองสามารถใช้ได้ แต่จะต้องมีการตรวจสอบและมีการดำเนินการดูแลอย่างรัดกุมเป็นปัจจัยสำคัญ” อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ทุกครั้งที่มีการก่อสร้างเกิดขึ้น และจะมีบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องที่จะเข้าไปดูแลการก่อสร้างโครงการว่า โครงการนี้ได้ปฏิบัติตามมาตรฐาน ถูกต้อง หรือไม่ สามารถวิเคราะห์สิ่งที่จะเกี่ยวข้องได้ใน 3 ประเด็น คือ
1.ตัวเครนและตัวปั้นจั่น ได้จัดให้เป็นอาคารที่เกี่ยวข้องใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคารหรือไม่ เรื่องนี้ยังเป็นประเด็นที่นักกฎหมายตีความกันอยู่ บางท่านกล่าวว่าเข้าข่ายเป็นเครื่องจักรกล ซึ่งถ้าเป็นเครื่องจักรกลแล้วจะไม่ต้องขออนุญาต เพราะไม่เข้าข่ายตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร ถ้าเป็นเช่นนี้จริง คิดว่าต้องมีการเปิดโอกาสให้มีการแก้ไข เนื่องจากมีปัญหาพังถล่มบ่อยครั้งมากขึ้น “เพื่อควบคุมเครนและปั้นจั่น ควรจะกำหนดให้เป็นอาคารตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร” เพราะว่ามีลักษณะเข้าข่ายเป็นโครงสร้าง
“หากเมื่อเราได้กำหนดให้เครนและปั่นจั่น เป็นอาคารตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร จะต้องให้มีการขออนุญาตด้วย ดังนั้น ผู้รับเหมาจะมาขออนุญาตเฉพาะการก่อสร้างตัวอาคารหลักเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องขออนุญาตในการสร้างเครนด้วย ถ้าเมื่อการติดตั้งเครนทำผิดระเบียบ จะสามารถระงับการการก่อสร้างตัวเครนได้ ซึ่งจะเป็นมาตรการหนึ่งที่กำหนดให้มีการควบคุมเครนและปั้นจั่น ประเด็นนี้ยังเป็นเรื่องที่จะต้องรอการไปตีความให้ชัดเจนเสียก่อน”
อย่างไรก็ตามถ้าจะมีให้ชัดเจน ควรระบุให้ชัดว่าการติดตั้งเครนและปั้นจั่นมีลักษณะเดียวกับโครงสร้างอาคาร เพราะที่ผ่านมา มีกรณีเกิดอุบัติเหตุหลายครั้งมาแล้ว จึงสมควรระบุให้เป็นอาคาร เพื่อจะได้ให้มีการขออนุญาตในการติดตั้งเครนได้อย่างถูกต้องต่อไป 2.การไม่ได้มองแค่เรื่องการขอใบอนุญาตเพียงอย่างเดียว กล่าวคือ หลังจากผู้ประกอบการได้รับใบอนุญาตการติดตั้งเครนไปแล้ว “ควรจะต้องมีการสุ่มตรวจจากนายตรวจ” ไปตรวจตราจากเจ้าหน้าที่ที่ไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่าได้ดำเนินการเป็นไปตามที่ได้ขออนุญาต
เช่น มีวิศวกรควบคุม มีเครื่องมือต่างๆ ที่ให้ความปลอดภัย มีแบบการติดตั้ง จริงตามที่ได้ขออนุญาตไว้จริง “ถ้านายตรวจตรวจแล้ว ไม่มีจริง นายตรวจสามารถระงับการก่อสร้างได้” ตรงนี้จะเป็นมาตรการเชิงป้องกันที่ทำให้ผู้ประกอบรู้ตัวและทราบดีว่า ผู้ตรวจจะมาตรวจตราเมื่อใดก็ได้ จะทำงานแบบหลบๆ ซ่อนๆ ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพื่อทำให้งานทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างถูกต้องและได้มาตรฐานดีพอ
3.อาจกำหนดให้มีคณะผู้ตรวจสอบอิสระ ซึ่งในประเด็นนี้ จะต้องมีการไปแก้ไขตัวบทกฎหมายรองรับด้วยว่า “ให้หน่วยงานท้องถิ่นสามารถตั้งคณะผู้ตรวจสอบอิสระขึ้นมาได้ โดยประกอบขึ้นด้วยตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ จากสภาวิศวกร และจากภาคเอกชน” เพื่อให้ตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนี้เป็นคณะผู้ตรวจสอบ และให้มีอำนาจหน้าที่ที่จะเข้าไปตรวจสอบการก่อสร้างเฉพาะโครงการได้ทุกเวลา และให้มีการทำรายงานส่งกลับเข้ามาว่า ได้มีการดำเนินการถูกต้องตามชั้นตอนหรือไม่ เพื่อให้เป็นมาตรการเชิงป้องกันอีกมาตรการหนึ่ง
“หากสามารถดำเนินการในประเด็นคณะผู้ตรวจสอบอิสระนี้ได้ จะทำให้การจัดการกับปัญหาดังกล่าวของไทยล้ำหน้าไปกว่าหลายๆ ประเทศ” เพราะว่าปัจจุบันเมื่อมีการอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารแล้วให้ทางผู้ประกอบการไปดำเนินการตามที่ตนเองดูแลรับผิดชอบ โดยที่ไม่มีมาตรการกำกับอีกขั้นตอนหนึ่งหลังจากได้รับใบอนุญาตก่อสร้างไปแล้ว ดังนั้นเป็นมาตรการเชิงป้องกันได้อีกด้วย
จากเดิมที่ผ่านมาเมื่ออนุญาตให้ก่อสร้างแล้ว ผู้ประกอบการไปดำเนินการก่อสร้าง แล้วก็จะมาดูแลกันอีกทีเมื่อตอนที่เกิดเหตุปัญหาขึ้น เสมือนว่าเป็นมาตรการ “วัวหายแล้วล้อมคอก” ถ้าเราสามารถให้เกิดข้อกำหนดให้มีนายตรวจหรือคณะผู้ตรวจสอบอิสระ จะเป็นมาตรการเชิงป้องกัน ซึ่งผมคิดว่าจะทำให้มาตรฐานการก่อสร้างบ้านเราสูงขึ้นเท่ากับเป็นการยกระดับมาตรฐานงานก่อสร้างไทยขึ้นมาอีกก้าวหนึ่งได้!!!
ศ.ดร.อมร พิมานมาศ
เลขาธิการสภาวิศวกร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี