4 มิ.ย. 2568  ที่กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพคณะอนุกรรมการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายจากการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ประชุมครั้งที่ 2/2568 พิจารณาเพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายว่าด้วยการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้เสียหาย พ.ศ. 2568 เป็นรายกรณีครั้งแรก โดยพิจารณามีมติช่วยเหลือเยียวยา 3 กรณี รวมเป็นเงิน 1,347,465 บาท พร้อมทั้งให้ได้รับการช่วยเหลือในรูปแบบอื่นที่มิใช่ตัวเงิน ดังนี้

1. กรณีพลทหารกิตติธร เวียงบรรพต ทหารกองประจำการ (ทหารเกณฑ์) รุ่นปี 2566 ผลัดที่ 1 ที่หน่วยฝึกทหารใหม่ ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย เสียชีวิตจากการถูกครูฝึกสั่งลงโทษจนเป็นเหตุให้พลทหารกิตติธรฯ มีอาการป่วยหนัก และเสียชีวิตในที่สุด กรณีดังกล่าวอัยการได้มีคำสั่งฟ้องครูฝึกทหาร 2 นาย ที่ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ เป็นคดีหมายเลข ปท 1/2566ต่อฐานร่วมกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตาม ม. 6แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ และประมวลกฎหมายอาญา ม. 83

คณะอนุกรรมการช่วยเหลือเยียวยาฯ ได้มีมติให้ทายาทพลทหารกิตติธรฯ ได้รับเงินช่วยเหลือกรณีถูกกระทำการที่โหดร้ายฯ จำนวน 250,000 บาท (อัตราสูงสุดของกรณีถูกกระทำที่โหดร้ายฯ) และให้ได้รับการช่วยเหลือในรูปแบบอื่นที่มิใช่ตัวเงิน ได้แก่ 1.การประสานผู้กระทำความผิดให้ขอโทษผู้เสียหายโดยเปิดเผยต่อสาธารณะ และ 2.การฟื้นฟูด้านจิตใจแก่ครอบครัว

2. กรณีพลทหารวรปรัชญ์ พัดมาสกุล ทหารกองประจำการ (ทหารเกณฑ์) ที่หน่วยฝึกทหารใหม่สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ค่ายนวมินทราชินี จังหวัดชลบุรี เสียชีวิตจากการถูกครูฝึกจำนวน 2 นาย และผู้ช่วยครูฝึก จำนวน 11 นาย ร่วมกันลงโทษในลักษณะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำร้ายร่างกายซึ่งรูปแบบและวิธีการมีลักษณะรุนแรงและต่อเนื่อง  กรณีดังกล่าวศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 2 จังหวัดระยอง ได้มีคำพิพากษาลงโทษครูฝึกและผู้ช่วยครูฝึก (จำเลยที่ 1 - 13) จำนวน 13 คน ดังนี้

จำเลยที่ 1 (ครูฝึก) กระทำความผิดฐานกระทำการทรมาน ม.5 และม. 35 ว.3 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา ม. 290 พิพากษาลงโทษจำคุก 20 ปี จำเลยที่ 2 (ครูฝึก) กระทำความผิดฐานกระทำการทรมาน ม.5 และ ม. 35 ว. 1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา ม. 295 พิพากษาจำคุก 15 ปี และจำเลยที่ 3 - 13 (ทหารเกณฑ์ซึ่งเป็นผู้ช่วยครูฝึก) กระทำความผิดฐานกระทำการทรมาน ม.5 และ ม. 35 ว. 1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา ม. 290 พิพากษาลงโทษจำคุกคนละ 10 ปี

คณะอนุกรรมการช่วยเหลือเยียวยาฯ ได้มีมติให้ ทายาทผู้ได้รับความเสียหาย ได้รับเงินช่วยเหลือกรณีถูกกระทำทรมาน จำนวน 500,000 บาท และให้ได้รับการช่วยเหลือในรูปแบบอื่นที่มิใช่ตัวเงินได้แก่ 1. การประสานงานและให้คำปรึกษาทางกฎหมาย 2. การฟื้นฟูด้านจิตใจแก่ครอบครัวและ 3. ประสานหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อกำชับการปฏิบัติงาน

3.กรณีนายปัญญา คงแสนคำ (ลุงเปี๊ยก) ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ควบคุมตัวไปสอบสวน โดยในระหว่างการสอบสวนมีพฤติการณ์ให้ถอดเสื้ออยู่ห้องที่มีความเย็น คลุมถุงดำ และใช้เครื่องพันธนาการเพื่อให้รับสารภาพ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ควบคุมตัวลุงเปี๊ยกเพื่อนำตัวไปที่ สภ. อรัญประเทศ ซึ่งหายไป 2 ชั่วโมง โดยไม่มีการบันทึกภาพและเสียง ไม่แจ้งการควบคุมตัว และไม่จัดทำบันทึกข้อมูลผู้ถูกควบคุมตัว (ปท.1)

ซึ่งกรณีดังกล่าวคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 9/2567 ได้สั่งฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรอรัญประเทศที่เกี่ยวข้อง จำนวน 8 นาย ในความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ฯ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นฯ และและร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 ม.309 และ ม.310 ประกอบกับความผิดฐานร่วมกระทำการที่โหดร้ายฯ ม.6 ร่วมกระทำให้บุคคลสูญหาย ม.7 และ ม.22 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ

คณะอนุกรรมการช่วยเหลือเยียวยาฯ ได้มีมติให้ นายปัญญา ได้รับเงินช่วยเหลือกรณีถูกกระทำให้บุคคลสูญหาย และกรณีถูกกระทำการที่โหดร้ายฯ จำนวน 597,465 บาท โดยแบ่งเป็นเงินช่วยเหลือกรณีถูกกระทำให้บุคคลสูญหาย จำนวน 500,000 บาท และ กรณีถูกกระทำการที่โหดร้ายฯ จำนวน 100,000 บาท แต่ เนื่องจากได้รับเงินช่วยเหลือจาก พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรมฯ แล้ว จำนวน 2,535 บาท จึงจ่ายเงินช่วยเหลือเฉพาะส่วนที่ขาดอยู่ รวมทั้งให้ได้รับการช่วยเหลือในรูปแบบอื่นที่มิใช่ตัวเงิน ได้แก่ การฟื้นฟูทางด้านร่างกายและจิตใจ

ทั้งนี้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จะมอบเงินเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายในวันที่ 19 มิ.ย. 2568

043...