23 มี.ค.62 ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสุรินทร์รายงานว่า ที่วัดสีลาโนนเปือย ต.โพนโก อ.สนม จ.สุรินทร์ ชาวบ้านโนนเปือย ได้ร่วมกันขุดหลุมเพื่อสร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ ลึกประมาน 1.50 เมตร โดยระหว่างขุดเมื่อวันที่ 21 มี.ค.62 ชาวบ้านได้ขุดพบหินศิลาแลงโบราณ 1 แผ่น จึงนำขึ้นไปเก็บไว้และวันที่ 22 มี.ค.62 ชาวบ้านก็ขุดพบอีกจำนวน 5 แผ่น ชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างแห่กันมาขูดๆ เพื่อหวังโชคลาภบ้างแล้วตอนนี้

ต่อมาเมื่อวันที่ 22 มี.ค.62 ช่วงค่ำ นายบุญยิ่ง บุญบำรุง กำนันตำบลโพนโก จึงรายงานให้นายอำเภอสนมทราบ นายวีรศักดิ์ บัวศรี นายอำเภอสนม จึงได้แจ้งกรมศิลปากรจังหวัดสุรินทร์ เข้าตรวจสอบ 

โดยวันนี้ (23 มี.ค.62) ซึ่งทางกรมศิลปากรจังหวัดสุรินทร์ ได้ตรวจสอบหินศิลาแลงที่ชาวบ้านขุดพบ เบื้องต้นสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถาน แต่ยังไม่แน่ชัดเท่าไหร่ว่าเป็นฐานกำแพงหรือสระน้ำ และยังกำหนดอายุสมัยรูปแบบของปราสาทยังไม่ได้ แต่หินศิลาแลงมีอายุไม่ต่ำกว่า 800 ปี ซึ่งก่อนนั้นยังขุดพบศิวลึงค์หินทราย อายุนับ 1,000 ปี บริเวณที่ขุดพบศิลาแลงนั้นคาดว่าน่าจะเป็นโบราณสถานที่สำคัญอีกจุดหนึ่งที่ค้นพบ แต่ยังไม่แน่ชัดว่ามีการเชื่อมโยงกับศิวลึงค์หินทรายที่พบก่อนหน้านี้หรือไม่ เพราะศิวลึงค์หินทราย ที่พบจะอยู่ไกล้ๆ กับศิลาแลงที่ขุดพบในตอนนี้

คุณเพ็ญ บุญญาทิพย์ นักวิชาการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ กล่าวว่า จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ชาวบ้านได้ขุดพบเมื่อวันที่ 21-22 มี.ค.62 ที่ผ่านมาเป็นชิ้นส่วนหินศิลาแลงจำนวน 6 ก้อน และเป็นจำพวกเศษหินคลุก ที่อยู่ใต้ฐานศิลาแลงอีกทีหนึ่ง เบื้องต้นสันนิษฐานว่า อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานแต่ยังไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นโบราณสถานประเภทใด เบื้องต้นคาดว่าน่าจะเป็นช่วงศิลปะขอมหรือเขมร ซึ่งในพื้นที่ของภาคอีสานของเราก็จะเจอพบเป็นจำนวนมาก และหลักฐานอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญนั่นก็คือ ศิวลึงค์ ที่พบก่อนหน้านี้ ที่บริเวณสิมน้ำของวัดสีลาโนนเปือย ก็จะเป็นศิวลึงค์หินทรายกำหนดอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 คือมีอายุประมาณ 1,000 ปีมาแล้ว 

"ขณะนี้ทางกรมศิลปากรขอความร่วมมือทางอำเภอและชาวบ้านให้ระงับหยุดการก่อสร้างและการขุดค้น ไม่ให้เคลื่อนย้ายโบราณวัตถุไปไว้ที่อื่น ไม่งั้นจะเป็นการทำลายหลักฐานทางโบราณคดี หลักจากนี้ทางกรมศิลปากรจะมีนักโบราณคดีและนายช่างมาทำการสำรวจและประเมินแหล่งโบราณคดีว่าจะทำดำเนินการขุดค้นโบราณคดีต่อหรือไม่แล้วจะอนุญาตให้สร้างอาคารศาลาการเปรียญต่อได้หรือไม่อย่างไร"