“โง่ - จน - เจ็บ” เป็นนิยามที่อธิบาย “ทุกข์ของชนชั้นรากหญ้า” หรือคนไทยที่มีฐานะทางเศรษฐกิจในระดับล่างมาช้านาน และคนกลุ่มนี้อยู่ใน “ภาคเกษตร” มากที่สุด ขณะเดียวกันนโยบายช่วยเหลือภาคเกษตรโดยรัฐบาลชุดต่างๆ ที่ผ่านมา หากไม่เข้าข่ายประชานิยมหวังผลเฉพาะหน้า ก็ดูจะเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุดเสียมากกว่า เพราะจะกี่ยุคสมัยคนในภาคเกษตรไทยจำนวนมากก็ยังหนีไม่พ้นภาวะหนี้สิน และไม่อาจยกระดับชีวิตให้ดีขึ้นได้
เดชรัต สุขกำเนิด อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวในเวทีเสวนา “ทางรอดเกษตรกรไทย...
ในภาวะวิกฤติหนี้สิน” ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถึงข้อค้นพบในการศึกษาภาวะหนี้สินของเกษตรกร ว่า “ระบบเครดิตเป็นสิ่งสำคัญมาก” หากไม่มีย่อมไม่อาจริเริ่มทำอะไรใหม่ๆ ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ประกอบการให้กู้เงินไม่ได้สนใจแล้วว่าผู้ขอกู้มีแผนธุรกิจอย่างไร สนใจแต่เพียงมีหลักประกันอะไร สามารถใช้คืนได้หรือไม่ เมื่อใด ดังนั้นเกษตรกรจึงไม่กล้าออกจากวงจรเดิม เพราะกลัวว่าจะไม่มีเงินมาใช้หนี้ที่เป็นอยู่
“ตอนนี้คนสนใจว่าเครดิตคือเครื่องผูกมัดให้คนอยู่ในวงจรการผลิตแบบเดิม ผลิตสินค้าอย่างเดิมทำให้ Supply (อุปทาน) มันมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ราคามันอยู่ที่ค่อนข้างต่ำอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก็เลยตกลงมาสู่กับดักแบบนี้ ไม่ทราบข้อมูล ไม่ทราบดอกเบี้ย เกรงใจเจ้าหนี้ พอเข้าสู่การดำเนินคดีก็ไม่ทราบเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และในชั้นบังคับคดีก็ไม่ทราบว่าจะดำเนินการอย่างไร สุดท้ายก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป” อาจารย์เดชรัต กล่าว
นักเศรษฐศาสตร์จาก ม.เกษตรศาสตร์ กล่าวต่อไปว่า “หากเกษตรกรยังติดอยู่ในสภาพนี้ย่อมเปลี่ยนไปทำเกษตรอินทรีย์อย่างที่หลายฝ่ายคาดหวังได้ยาก” เพราะมีกำแพง 4 ชั้นกั้นขวาง ประกอบด้วย1.กลัวความเสี่ยง เพราะหนี้เดิมก็ยังมีอยู่ ถ้าเปลี่ยนวิธีการแล้วขาดทุนขึ้นมาหนี้ก็ยิ่งพอกพูนหนักขึ้น 2.เกษตรกรต้องการรายรับก้อนใหญ่ เพื่อนำไป “โปะ” ชำระหนี้เก่าที่มีซึ่งเกษตรอินทรีย์นั้นรายรับต่อครั้งไม่ใช่เงินก้อนใหญ่แต่มาบ่อยๆ เป็นก้อนเล็กๆ ดังนั้นต้องเติมความรู้เรื่องการบริหารจัดการเงินให้เกษตรกรด้วย
3.ดอกเบี้ยคือต้นทุนเพิ่มทางอ้อมของเกษตรอินทรีย์ การทำเกษตรแนวใหม่หากเริ่มในช่วงที่ยังไม่เป็นหนี้ต้นทุนก็ยังไม่เท่าไร สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้เต็มที่ แต่สำหรับคนที่เป็นหนี้แล้วต้องการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนเองจะลำบากมากเพราะมีต้นทุนคือดอกเบี้ยจากหนี้เก่าอยู่ก่อนแล้ว เพื่อจะอยู่ให้รอดพอมีกำไรบ้างก็ต้องขายในราคาแพงขึ้น แต่ถ้าไม่สามารถขายในราคาแพงได้เกษตรกรก็จะรู้สึกว่าไม่คุ้ม ซึ่งการขายในราคาสูงข้อจำกัดอยู่ที่การขยายตลาดให้กว้าง และ 4.หาแหล่งทุนไม่ได้ เพราะยังมีหนี้เดิมค้างอยู่
“เราจะไปส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ทั่วไปแบบที่ใครๆ พูดกันก็จะทำไม่ได้ ต้องเข้าใจด้วยว่าเกษตรกรที่มีหนี้สินเวลาจะทำเกษตรอินทรีย์ เช่น พอเราพูดว่าจะลดรายจ่าย เกษตรกรที่ไม่มีหนี้ก็อาจสนใจเพราะรายจ่ายลดลง แต่กลุ่มที่เป็นหนี้ถ้าลดรายจ่ายเพียงนิดเดียวไม่ได้ลดภาระหนี้มากนัก มันไม่มีความดึงดูดใจให้เขามาลงทุน เขาอยากได้อะไรที่เป็นรายรับเพิ่มขึ้นมากกว่า เพราะเขาต้องเอาไปชำระเงินกู้” อาจารย์เดชรัต ระบุ
ผศ.ดร.ธนพันธ์ ไล่ประกอบทรัพย์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเล่าถึงการไปเก็บข้อมูลชาวนาประเภทเช่าที่ดินทำนา ว่า “ที่หลายคนได้ยินตามสื่อต่างๆ ว่าข้าวขายได้ราคาดี นั่นเป็นเพียงราคาส่งออก แต่ราคาที่ชาวนาได้ไม่ดีขนาดนั้น” เฉลี่ยแล้วราคาข้าวเปลือกในภาคกลางอยู่ที่ 6,500-7,000 บาทต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวส่งออกอยู่ที่มากกว่าตันละ 1 หมื่นบาทขึ้นไป ชาวนาจึงอยากได้นโยบายพยุงราคาผลผลิตจากรัฐ
คำถามที่เกิดขึ้น “รู้ว่าขาดทุนทำไมยังฝืนทำต่อไปเรื่อยๆ?” อาจารย์ธนพันธ์ ซึ่งเข้าไปสำรวจวิถีชีวิตชาวนาในภาคกลาง พบว่า “ชาวนาภาคกลางเช่าที่ดินทำนาในปริมาณมาก” บางคนเช่ากันหลักร้อยไร่ ส่วนกลุ่มที่มีเอกสารสิทธิอยู่ที่เพียงหลักสิบไร่เท่านั้น เรื่องนี้ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้คือ “เศรษฐกิจไทยช่วง 30-40 ปีล่าสุดเน้นผลิตเพื่อการส่งออก กระตุ้นให้ชาวนาในภาคกลาง อันเป็นภาคที่อุดมสมบูรณ์ปลูกข้าวมากขึ้นด้วย โดยหวังว่าจะได้กำไรดี” บวกกับกระแสพัฒนาอุตสาหกรรม หลายคนเลือกขายที่ดินให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แล้วหันไปเช่านาทำแทน
“หลายคนไปเช่านาในพื้นที่ไกลจากที่ที่ตัวเองอยู่ บางคนอยู่จังหวัดหนึ่งแต่ไปเช่าที่นาอีกจังหวัดก็มี การเช่านามันก็สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจไทยช่วง 30- 40 ปี ที่น่าสนใจคือ 4-5 ปีที่ผ่านมา ในช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่พยายามจะควบคุมค่าเช่านาให้อยู่ที่ 600-800 บาทแต่ในความเป็นจริงตัวเลขอยู่ที่ 1,000 บาทขึ้นไป บางพื้นที่ 1,500 บาทก็มี แต่บางส่วนก็จ่ายค่าเช่าเป็นผลผลิตต่อไร่ ดังนั้นความพยายามของรัฐบาลกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมันค่อนข้างต่างกัน และทำให้คนทำนาเช่ามีต้นทุนที่สูงขึ้น” อาจารย์ธนพันธ์ ระบุ
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ผู้นี้ กล่าวต่อไปว่า ทีมวิจัยซึ่งเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างชาวนาในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคกลางคือ พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรีและชัยนาท พบว่า “ชาวนาที่เช่าที่ดินทำนาขาดโอกาสด้านนโยบาย” เป็นความเหลื่อมล้ำอย่างหนึ่ง เช่น “โครงการลดต้นทุนการเพาะปลูกที่รัฐช่วยเหลือไร่ละ 1,000-1,500 บาทไม่เกิน 12 ไร่ แต่การจะได้รับสิทธิ์ต้องมีหลักฐานเป็นโฉนดที่ดินทำนา ชาวนาก็ต้องไปขอจากผู้ให้เช่าที่ดิน ทำให้เจ้าของที่นาบางรายต่อรองกับชาวนาขอส่วนแบ่งเงินช่วยเหลือจากรัฐด้วย” ชาวนากลุ่มนี้จึงไม่อาจลดต้นทุนได้ตามที่รัฐบาลต้องการ
นอกจากนี้ยังมีปัญหา “การเมืองท้องถิ่น”เช่น ชาวนาบางรายให้ข้อมูลว่า “รู้จักโครงการลดต้นทุนการทำนาจากรัฐบาลช้ากว่าที่อื่น” เมื่อถามเหตุผลก็ทราบว่า “องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) มาแจ้งช้าเพราะพื้นที่นั้นไม่ใช่ฐานเสียงของผู้บริหาร อบต. ชุดที่ดำรงตำแหน่ง” ขณะเดียวกัน “บางโครงการของรัฐก็ไม่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่” เช่น โครงการรับจำนำยุ้งฉาง เพราะชาวนาภาคกลางเกี่ยวข้าวแล้วขายทันที ด้านหนึ่งคืออยากได้เงินไวๆไปใช้หนี้ อีกด้านคือข้าวไม่ใช่ทองคำ เก็บไว้นานยิ่งเสื่อมราคา หากนำไปขายกับรัฐจะได้ราคาตามที่ประกันไว้หรือไม่
หรือโครงการปรับเปลี่ยนพืชที่จะเพาะปลูก เช่น ส่งเสริมให้ปลูกข้าวโพดแทนการทำนา ในความเป็นจริงคือพื้นที่ภาคกลางหลายแห่งไม่เหมาะกับการปลูกพืชไร่ อีกทั้งตลาดในการรับซื้อก็หายากเมื่อเทียบกับการปลูกข้าวที่หาโรงสี หาลานตากข้าวที่รับซื้อข้าวจากชาวนาได้ง่าย หากปลูกพืชอื่นผลที่ตามมาคือต้นทุนจะเพิ่มขึ้นจากค่าขนส่งเพราะต้องลำเลียงจากแหล่งผลิตไปยังโรงแปรรูป “ยิ่งการเช่าที่ดินทำนา เจ้าของที่ยิ่งไม่ยอมให้ชาวนาปรับพื้นที่ไปทำอย่างอื่น” เพราะกลัวที่ดินของตนจะเสียมูลค่า
อีกด้านหนึ่ง สามารถ สระกวี ผู้ก่อตั้งกลุ่มออมทรัพย์ชุมชน (ครัวใบโหนด) อ.สิงหนคร จ.สงขลา เล่าว่า ในชนบทชาวบ้านส่วนใหญ่ฐานะค่อนข้างยากจน จึงไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอสำหรับการออมเงินอย่างสม่ำเสมอ “ตอนตั้งโครงการครั้งแรกในปี 2533 บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการออมทรัพย์คืออะไร เมื่อบวกกับการที่ไม่ใช่หน่วยงานราชการก็ยิ่งไม่ได้รับความไว้วางใจ จึงไม่มีใครมาเป็นสมาชิก” ซึ่งการตั้งกลุ่มออมทรัพย์ดังกล่าวกำหนดการออมต่อเดือนขั้นต่ำ 10 บาท และสูงสุดไม่เกิน 100 บาท
กระทั่งเมื่อเห็นว่ามีผู้ได้กู้เงินจากกลุ่มออมทรัพย์ คนอื่นๆ จึงกล้าเข้ามาเป็นสมาชิกกันมากขึ้นและหมู่บ้านอื่นๆ ก็อยากทำบ้างจนปัจจุบันกลุ่มออมทรัพย์ในชุมชนละแวกเดียวกันเกิดขึ้นรวม 7 กลุ่ม มีเงินหมุนเวียนหลักร้อยล้านบาทมีสมาชิกกว่า 6 พันคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีนอกจากนี้ “แกนนำกลุ่มออมทรัพย์ยังเคยช่วยเกษตรกรในกลุ่มที่กำลังจะถูกยึดที่ดินทำกิน แล้วมาทำข้อตกลงว่าเกษตรกรรายนั้นจะผ่อนชำระหนี้คืนกลุ่มออมทรัพย์ได้อย่างไรในอัตราที่มีกำลังพอจ่าย” เช่น ให้ผ่อนเดือนละ 500-1,000 บาท จากราคาที่ดิน 7-8 แสนบาท ก็ทำมาแล้ว
“กลุ่มออมทรัพย์ไม่ได้มีแต่เรื่องแก้ไขปัญหาที่ทำกินหรือเรื่องปลดหนี้อย่างเดียว แต่มันได้เติบโตไปตามกองทุนต่างๆ ที่วางไว้ ในปี 2538 ก็เริ่มทำเรื่องธุรกิจชุมชน เอาวัตถุดิบในท้องถิ่นมาแปรรูป แล้วกลุ่มแม่บ้านที่เป็นแกนนำบริหารเขาไปทำการตลาด ส่งขายทั่วประเทศรวมถึงในต่างประเทศอย่างส่งไปญี่ปุ่น สมาชิกก็ได้เงินปันผลอีกชั้นหนึ่ง นอกจากกลุ่มออมทรัพย์แล้วก็ได้จากธุรกิจชุมชน ก็เป็นกระบวนการที่ชุมชนได้เติบโต ได้เรียนรู้ผ่านการบริหารจัดการองค์กร การเงิน และเริ่มเข้าใจโครงสร้างตลาด” สามารถ กล่าว
ผู้ก่อตั้งกลุ่มออมทรัพย์ชุมชน (ครัวใบโหนด) ยังกล่าวอีกว่า “การเติบโตของกลุ่มออมทรัพย์ได้เปลี่ยนวิธีคิดของชาวบ้านไปด้วย เช่น จากเดิมที่ดูถูกว่าเป็นไปไม่ได้ รวมกลุ่มไปก็มีแต่เจ๊งเปล่าๆ กลายเป็นเห็นว่าจะรวมแล้วรอดหรือร่วงขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ” อีกทั้งชาวบ้านยังได้ความรู้ใหม่ๆ ทั้งที่หลายคนมีการศึกษาน้อย หรือความเชื่อเดิมที่ว่าคนจนทำได้แต่เพียงรอรับความช่วยเหลือ ไม่อาจเป็นพลังสร้างสรรค์สังคมได้ แต่การรวมกลุ่มออมทรัพย์ที่จัดงบประมาณส่วนหนึ่งไว้ทำกิจกรรมเพื่อสังคม ชาวบ้านจึงเห็นว่าคนจนก็สามารถช่วยเหลือสังคมได้เช่นกัน
อาภา หวังเกียรติ หัวหน้าหลักสูตรวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ปัญหาสำคัญของเกษตรกรไม่ว่าจะเป็นเกษตรอินทรีย์หรือไม่คือ1.ปลูกแล้วไม่รู้จะไปขายที่ไหน? 2.ปลูกแล้วต้องขายผ่านคนกลาง อนึ่ง..แม้จะพบมูลค่าของสินค้าเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นในตลาดโลก แต่ที่ต้องหาคำตอบต่อไปคือเป็นการเพิ่มขึ้นในกลุ่มของเกษตรกรรายใหญ่มากกว่ารายย่อยหรือไม่ เพราะในประเทศไทยเกษตรอินทรีย์ยังเน้นผลิตเพื่อส่งออกต่างประเทศ และการส่งออกต้องใช้สินค้าปริมาณมาก ต้องใช้ความรู้ทั้งการวางแผนการผลิตและการตลาด
ส่วนตลาดในประเทศที่เป็นร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ พบว่ามีเงื่อนไข เช่น เคยมีเกษตรกรจะส่งส้มไปขายแล้วพบว่าต้องกลับมาชั่งใหม่เพราะตาชั่งไม่ได้มาตรฐานของธุรกิจค้าปลีกที่น้ำหนัก1 กิโลกรัมต้องเท่ากับ 1.00 หรือต้องมีเงินประกันหลักแสนบาท ทำให้เกษตรกรรายย่อยเข้าถึงได้ยาก อย่างไรก็ตาม “ช่องทางออนไลน์ถือว่ามาแรงมาก” วันนี้หากเข้าไปดูเว็บไซต์ที่เป็นตลาดออนไลน์หลายแห่ง จะพบการขายสินค้าเกษตรอินทรีย์จำนวนมาก หากเกษตรกรมีทักษะด้านนี้ย่อมถือเป็นโอกาส
นอกจากนี้ยังมีตลาดอีกประเภทที่ในประเทศไทยมีไม่มากนักแต่นิยมในต่างประเทศ คือ ระบบจ่ายเงินจองไปก่อนแล้วเกษตรกรจะนำผลผลิตมาส่งทีหลัง ซึ่งตั้งอยู่บนหลักคิดที่ว่าอย่างน้อยเกษตรกรจะได้มีเงินไปลงทุนไม่ต้องเป็นหนี้สิน เกษตรกรก็จะถ่ายรูปรายงานผล รวมถึงลูกค้ามีการไปเยี่ยมถึงแปลงผลิต อย่างไรก็ตาม “สำหรับชาวเกษตรอินทรีย์..ยังมีความท้าทายอีกเรื่องคือรสชาติ” เพราะผู้บริโภคอาจเคยชินกับสินค้าจากเกษตรเคมีมาก่อน เมื่อมารับประทานผลผลิตที่เป็นเกษตรอินทรีย์อาจรู้สึกว่าไม่อร่อยได้ จึงต้องให้ความรู้กับผู้บริโภคด้วย
“น่าจะมีการส่งเสริมสินค้าเกษตรอินทรีย์อย่างชัดเจนจากนโยบายของรัฐ และสนับสนุนตลาดเกษตรอินทรีย์สำหรับเกษตรกรรายย่อย มากกว่าไปมุ่งสนับสนุนตลาดเกษตรอินทรีย์สำหรับธุรกิจรายใหญ่ เพราะรายใหญ่เขาสามารถจัดการได้เองอยู่แล้ว” อาจารย์อาภา กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี