“หมู่บ้านก้างปลา” ตั้งอยู่ห่างตัวอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ราว 4 - 5 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กที่มีประชากรเพียง 223 คน 76 ครัวเรือน “ชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ในอดีตเป็นการปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือน ต่อมาได้ขยายพื้นที่ทำกินเข้าไปยังผืนป่าเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว” โดยเฉพาะการปลูก “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” เป็นเวลาต่อเนื่องนับสิบๆ ปี และ
ชาวบ้านยังขยายพื้นที่ทำกินเข้าไปยังผืนป่ามากขึ้นทุกปีๆ
โดยเฉพาะในปีที่ผลผลิตขายได้ราคาสูง จนทำให้ภูเขารอบหมู่บ้านเปลี่ยนเป็นเขาหัวโล้น
“ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ฐานทรัพยากรอาหารของชุมชนเกิดภาวะเปราะบางเสี่ยงต่อความไม่มั่นคงทางอาหาร ทั้งในแง่การทำลายผืนป่าและแหล่งอาหารทางธรรมชาติ เกิดภาวะหนี้สินซ้ำซาก เกิดความเสี่ยงต่อรายได้ที่จะได้รับ ตลอดจนยังเผชิญกับปัญหาเรื่องของสุขภาพเนื่องจากการใช้สารเคมีทางการเกษตรเป็นจำนวนมาก และเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างขาดความรู้และความเข้าใจ”
จากโจทย์ความต้องการของชุมชนในการฟื้นฟูและจัดการฐานทรัพยากร (ดิน น้ำ และป่า) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสุดในการทำการเกษตรให้เกิดความยั่งยืน จึงเกิดเป็นโครงการ “Smart Farmer เกษตรทางเลือกและความมั่นคงทางอาหาร
(ปี 2559-2560)” และโครงการ “การเพิ่มศักยภาพเกษตรกรและหมู่บ้านต้นแบบการผลิต และการตลาดสีเขียวมาตรฐานด่านซ้ายกรีนเนท” โดยการสนับสนุนทุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ประยุกต์แนวทางระบบการรับรองมาตรฐานอย่างมีส่วนร่วม ในพื้นที่ อ.ด่านซ้าย จ.เลย (ปี 2560-2561)
รศ.ดร.เอกรินทร์ พึ่งประชา อาจารย์ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยดังกล่าว เล่าว่า “การปรับเปลี่ยนความคิดของชาวบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย” ต้องเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็น
ค่อยไป ต้องใช้เวลา เพราะเงื่อนไขของแต่ละสังคมแตกต่างกัน
“การตั้งสมมุติฐานเบื้องต้นว่าเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คือคนทำลายป่าทำให้เกิดเขาหัวโล้น เท่ากับมีมุมมองที่อคติต่อชาวบ้าน ก็จะไม่สามารถเดินเข้าหาชุมชนได้”
เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ชาวบ้านต้องปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว
สำหรับแนวทางการดำเนินงาน ประกอบไปด้วยกิจกรรมต่างๆ หลากหลายมิติ ที่เรียกว่า “กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research : PAR)”
ใช้กิจกรรมสร้างกระแสเพื่อขับเคลื่อนชุมชนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
“ทุกกิจกรรมจึงต้องให้คนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม”
เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจและตระหนักต่อการเปลี่ยนแปลง
ที่เกิดขึ้น
อาจารย์เอกรินทร์เล่าต่อไปว่า “การขับเคลื่อนจำเป็นต้องเข้าใจสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของคนไทด่าน (คำพื้นถิ่นที่เรียกคนด่านซ้ายที่มีรากฐานมาจากวัฒนธรรมลาวหลวงพระบาง)” โดยเฉพาะ “วัฒนธรรมพานำ” ซึ่งนอกจากผู้ใหญ่บ้านหรือเกษตรกรต้นแบบจะมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในชุมชนแล้ว
ผู้หญิงยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการตัดสินใจปัญหาต่างๆ ภายในครัวเรือนมาโดยตลอด
“ผลการศึกษาระบุชัดว่า ผู้หญิงไทด่านมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการพัฒนาชุมชนในมิติด้านการจัดการฐานทรัพยากรอาหารของชุมชนทั้งด้านการผลิต ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านเศรษฐกิจและสังคม พลังของผู้หญิงเป็นกลไกเชื่อมประสานสู่แนวทางการปฏิบัติของครัวเรือน และชุมชนในมิติทางการเกษตรทั้งระบบ ถือเป็น Agent change ที่สามารถพัฒนาการทำเกษตรทางเลือกไปสู่ความยั่งยืนได้” อาจารย์เอกรินทร์ กล่าว
ในเบื้องต้นโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันอุดมศึกษาในท้องถิ่นคือ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย ดำเนินการเก็บรวบรวมและจัดทำฐานข้อมูลของชุมชน ซึ่งพบว่า ป่าชุมชนบ้านก้างปลามีพื้นที่สภาพป่า
เป็นป่าเบญจพรรณผสมป่าดิบแล้ง และมีชนิดพรรณป่าไม่น้อยกว่า 136 ชนิด อีกทั้งจากการศึกษาสภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน
ทั้งนี้หากเปรียบเทียบระหว่างปี 2545 กับปี 2560
พบว่า มีพื้นที่เกษตรกรรมเพิ่มขึ้น 295 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.60 พื้นที่ป่าลดลง 315 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.64 พื้นที่สิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น 10 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.02 และพื้นที่แหล่งน้ำเพิ่มขึ้น 10 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.02 ผลการศึกษาข้างต้นทำให้ชาวบ้านก้างปลาหันมาอนุรักษ์และเกิดความห่วงแหทรัพยากรป่าชุมชนกันมากขึ้น โดยผู้นำชุมชนได้จัดประชุมชาวบ้านและมีมติให้กำหนดแนวเขตพื้นที่ป่าชุมชนของหมู่บ้าน โดยจะต้องไม่กระทบกับสมาชิกในชุมชนและพื้นที่ป่าที่ยังเหลืออยู่
ขณะที่ นายวิโรจน์ อินทร์วงษ์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.5 บ้านก้างปลา เปิดเผยว่า ปัจจุบันได้มีการปรับปรุงคณะกรรมการป่าชุมชน เพื่อดูแลและฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรม โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้มีการเข้าไปสำรวจป่าและได้มีการปลูกต้นไม้เพิ่ม ทำให้สภาพป่ากว่า 200 ไร่ของชุมชนเริ่มกลับมาดีขึ้น มีเห็ด มีหน่อไม้ ที่ ทุกคนในชุมชนสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์จาก
ป่าชุมชนของหมู่บ้านได้ภายใต้กฎกติกาที่ชุมชนร่วมกันกำหนดขึ้น
“กระบวนการหรือแนวทางการการจัดการป่าชุมชนบ้านก้างปลา เกิดจากการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกพื้นที่ป่า การเดินกำหนดแนวเขต มีการตั้งคณะกรรมป่าชุมชน มีการตั้งกฎกติกาข้อกำหนดและกฎระเบียบร่วมกันการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชุมชน หลังจากโครงการ คืนข้อมูลให้กับชุมชน
แล้วจึงได้จัดเวทีประชาคมร่วมกับชาวบ้านเกี่ยวกับแนวทางจัดตั้งป่าชุมชนบ้านก้างปลา โดยมีนายอำเภอด่านซ้ายคนก่อนคือนายประยูร อรัญรุท และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ดูแลเขตพื้นที่อำเภอด่านซ้าย เข้าร่วม” ระบุ
ความสำเร็จของชุมชนบ้านก้างปลาได้รับการรับรองจากภาครัฐอย่างเป็นทางการเมื่อเดือน ต.ค. 2561 เมื่อกรมป่าไม้ ส่งเจ้าหน้าที่มาจัดทำแนวเขตรังวัดพื้นที่ป่าชุมชน ตามรายงานที่คณะวิจัยและชุมชนร่วมกันจัดทำขึ้น ซึ่งทำให้ความขัดแย้งระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐกับวิถีชีวิตของประชาชนคลี่คลายลง
เชื่อว่าหลังจากนี้ “บ้านก้างปลาโมเดล” คงถูกยกขึ้นมาหากพูดถึงกระบวนการจัดการทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืนแบบที่ชุมชนมีส่วนร่วมต่อไป!!!
ทีมงาน ‘วารีวิทยา’
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี