ถือเป็น 1 ในข่าวใหญ่ประจำเดือน เม.ย. 2562 กับกรณี “สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) สนธิกำลังกับตำรวจและทหารในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี เข้าตรวจยึดต้นกัญชาและผลิตภัณฑ์น้ำมันกัญชา ณ มูลนิธิข้าวขวัญ” เมื่อ 3 เม.ย. 2562 ขณะที่ทาง นายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ ที่ถูกหมายเรียกเพราะไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ยืนยันว่าของกลางทั้งหมด “มีไว้เพื่อรักษาโรค” และได้แจกจ่ายให้ผู้ป่วยไปแล้วนับพันคน
ข่าวดังกล่าวทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกระแสในโลกออนไลน์มีการแห่ติดแฮชแท็ก “#SaveDecha” บนทวิตเตอร์เพื่อแสดงจุดยืนให้กำลังใจนายเดชา เช่นเดียวกับองค์กรภาคประชาสังคมอย่าง “มูลนิธิชีววิถี” (BIOTHAI) ที่ทำงานด้านเกษตรปลอดภัย ออกแถลงการณ์เมื่อ 5 เม.ย. 2562 ระบุในตอนหนึ่งว่า นายเดชาสนใจการนำกัญชามาทำน้ำมันรักษาโรคโดยศึกษามานานนับสิบปีและนำไปแจกจ่ายจนช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ไว้เป็นจำนวนมากโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แม้จะรู้ดีว่าผิดกฎหมาย (อันล้าหลัง) ของไทยก็ตาม
ข้อมูลจากมูลนิธิชีววิถีนี้เอง ทำให้ชื่อของนายเดชาถูกกล่าวถึงในฐานะ “วีรบุรุษของคนยาก” เพราะยอมเอาชีวิตตนเองมาเสี่ยงคุกตะรางเพื่อช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยให้กับผู้คน เกิดการ “ลงขัน” หาเงินสมทบทุนช่วยนายเดชาต่อสู้คดี ซึ่งเมื่อ 14 เม.ย. 2562 มูลนิธิฯ ได้สรุปยอดเงินบริจาค (ณ วันที่ 12 เม.ย. 2562) พบว่าอยู่ที่ 1,234,919.96 บาท และแม้ว่าท้ายที่สุด ป.ป.ส. กับตำรวจจะไม่แจ้งข้อหาครอบครองกัญชากับนายเดชา แต่เงินบริจาคทั้งหมดจะมอบให้กับมูลนิธิข้าวขวัญตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาคต่อไป
ล่าสุดเมื่อ 18 เม.ย. 2562 ที่คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีการจัดประชุมและแถลงข่าวเครือข่ายนักวิจัยกัญชา ตัวแทนจากมูลนิธิชีววิถี ที่ร่วมกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และมูลนิธิสุขภาพไทย ได้แถลงตัวเลขเงินบริจาคอีกครั้งพร้อมกับประกาศปิดรับบริจาค พบว่ามียอดเงินจำนวน 1,299,893.76 บาท และส่งมอบให้กับนายเดชา ขณะที่นายเดชา ที่มาร่วมประชุมและแถลงข่าวด้วย เปิดใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่า “สิ่งที่ตั้งใจคืออยากให้ผู้ป่วยได้รับยาโดยเร็วที่สุด” เพราะปัจจุบันมีผู้ป่วยเก่ากำลังรอรับยาอยู่ 5,000 คน และยังไม่นับผู้ป่วยใหม่อีก
“ช่วงนี้เพื่อให้ผู้ป่วยเก่าได้รับยาต่อเนื่องและผู้ป่วยใหม่ได้รับยาตามความประสงค์ จะให้ผมทำอะไรก็ทำเพื่อให้ถูกกฎหมาย เพื่อให้เข้ากระบวนการให้ได้ ให้ผมเป็นหมอก็เป็น ให้อบรมก็อบรม ให้เป็นนักวิจัยก็ทำ ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อผู้ป่วย แต่ระยะยาวนอกจากงานวิจัยที่ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ผมจะต้องทำอีกเรื่อง ที่ผมทำมาตลอดมีอุปสรรคอยู่เรื่องเดียวที่เป็นหลักคือกฎหมายที่ผมคิดว่ายังไม่ดีเท่าที่ควร ยังไม่ส่งเสริมให้ทำได้เต็มที่เท่าที่ควรจะทำได้ แต่กลับเป็นอุปสรรคในบางเรื่อง ฉะนั้นในระยะยาวผมจะผลักดันกฎหมายเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น” นายเดชา กล่าว
นอกจากนายเดชาแล้ว ภายในงานยังมีนักวิชาการร่วมแถลงข่าวให้การสนับสนุน อาทิ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้ทรงคุณวุฒิคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตนเป็นห่วงเรื่องข้อกฎหมายที่ยังไม่ชัดเจน รวมถึงจำนวนผู้ที่ใช้กัญชารักษาอาการป่วยซึ่งคาดว่าน่าจะมีหลักแสนคน แม้จะขอนำน้ำมันกัญชาจากมูลนิธิข้าวขวัญที่ก่อนหน้านี้ ป.ป.ส. ไปยึดไว้ออกมาใช้ก็อาจไม่เพียงพอ
จึงอยากชวนกลุ่มผู้ใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ซึ่งขณะนี้ยังมีสถานะ “อยู่ใต้ดิน” ให้มาแจ้งการครอบครองกัญชาภายในวันที่ 19 พ.ค. 2562 อันเป็นวันสุดท้ายที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ ป.ป.ส. เปิดให้แจ้ง เพื่อให้มีการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ได้ ทั้งนี้ลำพังแพทย์แผนปัจจุบันที่จะผ่านการอบรมรุ่นแรกวันที่ 29 เม.ย. 2562 ซึ่งมีเพียง 200 คน ไม่เพียงพอและอาจยังไม่กล้าใช้ยา ต้องอาศัยผู้รู้ผู้มีประสบการณ์ในชมรมใต้ดิน ซึ่งหากมีประสบการณ์ช่วยชีวิตคนในสังคมในชุมชนก็ยินดีที่จะร่วมมือ
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน ผู้ที่ใช้กัญชารักษาอาการเจ็บป่วยต้องกล้าเรียกร้องสิทธิเพราะเป็นเรื่องของความเป็นมนุษย์ในการต้องได้เข้าถึงการรักษาในขณะที่การรักษาแผนปัจจุบันยังมีข้อจำกัด และขอฝากไปยัง อย. กับ ป.ป.ส. ด้วยว่าต้องประกาศให้ชัดเจนว่าน้ำมันกัญชาจะต้องไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งจะเป็นโอกาสให้คนเหล่านี้นำผลิตภัณฑ์ที่มีมาเข้ากระบวนการตรวจสอบคุณภาพ “ผู้ป่วยต้องไม่หลบๆ ซ่อนๆ จะต้องไม่มีการไปตรวจค้นว่ามีน้ำมันกัญชาในตัว 1 - 2 หลอด” เพราะถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน
“ผมเรียกร้องไปยังผู้ป่วยทุกคนที่ใช้และกำลังจะใช้ ผมไม่สนใจกฎหมาย ประกาศไว้ ณ ที่นี้ ผมสนใจว่าจะรักษาผู้ป่วย ให้คนป่วยนั้นมีชีวิตอยู่นานเท่าไรก็ยังมีความสุขอยู่ ที่อาจารย์เดชาทำทั้งหมดเพื่อคนไข้คนป่วย ไม่ใช่ทำตามให้เข้ากรอบ อาจารย์เดชาพูดแล้วให้ทำอะไรก็ยอมทำเพื่อผู้ป่วย ฉะนั้นพวกเราก็เช่นเดียวกัน ไม่มีข้อแม้ ไม่ต้องสนใจกฎหมาย”ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ประกาศกลางงานแถลงข่าว
ด้าน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า เท่าที่ทราบมีผู้ไปขึ้นทะเบียนผู้ครองครองกัญชาสำหรับใช้เพื่อการแพทย์กับทาง อย. เพียงหลักพันคนซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ว่าน่าจะมีผู้ใช้จริงตั้งแต่ 8 แสน - 2 ล้านคน สะท้อนว่าหากยังปล่อยให้ใช้กันแบบนี้โดยไม่สามารถหาทางออกได้ คนส่วนใหญ่ที่ใช้ก็ยังจะคงอยู่ใต้ดินต่อไป หมายถึงการไม่สามารถตรวจวัดคุณภาพ ความปลอดภัย รวมถึงความเหมาะสมด้านราคาของผลิตภัณฑ์
“จากเหตุการณ์ตรงนี้ต้องมาวิเคราะห์ว่าทำไมประชาชนส่วนใหญ่ไม่มาขึ้นทะเบียน ทั้งๆ ที่กฎหมายกำหนดให้สามารถนิรโทษกรรมได้แล้ว เราวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่มั่นใจว่าหลัง 19 พ.ค. 2562 คนเหล่านั้นจะมีสถานภาพอย่างไร? เรื่องแบบนี้มันสะท้อนให้เห็นว่ากฎหมายยังไม่ตอบโจทย์และยังขาดความชัดเจนในมุมมองของประชาชน”นายปานเทพ ระบุ
นายปานเทพ ฝากทิ้งท้ายว่า “ต้องทำกรณีของอาจารย์ให้เป็นกรณีตัวอย่างโดยเร็วที่สุด” กล่าวคือให้สามารถเข้าสู่กระบวนการวิจัยเพื่อดูแลความปลอดภัย รวมถึงกระบวนการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “รัฐต้องคิดเรื่องการแก้ไขกฎหมายให้ผู้ป่วยมีสิทธิ์เข้าถึงยาได้” ในขณะที่ภาครัฐยังไม่สามารถอำนวยปริมาณความต้องการกัญชาที่ใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ
กฎหมายจึงต้องถูกแก้ไขให้คล่องตัวและยืดหยุ่นขึ้น!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี