อำเภอเบตง จังหวัดยะลา จัดการประชุมการจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพทางด้านการท่องเที่ยวของสามจังหวัดภาคใต้ชายแดน เพื่อเพิ่มนักท่องเที่ยวจากอินโดนีเซียและอาเซียนใต้
25 มิ.ย.62 ที่ห้องประชุมเล็ก แมนดาริน ชั้น 2 โรงแรมแกรนด์แมนดาริน เบตง อ.เบตง จ.ยะลา นายนิมะ มะกาเจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาเป็นประธานเปิดการประชุมการจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพทางด้านการท่องเที่ยวของสามจังหวัดภาคใต้ชายแดน เพื่อเพิ่มนักท่องเที่ยวจากอินโดนีเซียและอาเซียนใต้ ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการร่วมกันระหว่าง ศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กับสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสงขลา เพื่อขยายความร่วมมือทางวิชาการและประสบการณ์การทำงานร่วมกันระหว่างผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการท่องเที่ยวทั้งภาคชุมชน ธุรกิจ ภาครัฐ วิชาการและต่างประเทศ โดยมี นายมูฮำหมัด อะฟานดี้ อบู บากา กงสุลใหญ่มาเลเซีย , พ.จ.ท.อนันต์ บุญสำราญ นายอำเภอเบตง , ผศ.ดร.สุพัตรา เดวิสัน ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายอาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ , ผศ.ดร.พรปวีณ์ พุ่มเกิด ผู้อำนวยการสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒน และผู้ประกอบการการท่องเที่ยวเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้
ผศ.ดร.สุพัตรา เดวิสัน ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายอาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้และมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐของโลก ประเทศไทยเองก็เช่นกัน เรามีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มีวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายและเป็นเอกลักษณ์ เป็นที่น่าสนใจให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก โครงการนี้มุ่งเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวจากอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากรกว่า 260 ล้านคน มากเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน แต่มีนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซียเข้ามาในประเทศไทยเพียงปีละประมาณ 5-6 แสนคน
ส่วนใหญ่อยู่ใน กทม.พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ และมีนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่ง ได้เข้ามายังจังหวัดยะลาผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเบตงซึ่งข้อมูลในปี พ.ศ. 2561 มีนักท่องเที่ยวจากอินโดนีเซียเพียง 1,700 คนเท่านั้น จึงน่าจะมีโอกาสที่จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากอินโดนีเซียได้มากกว่านี้
ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายอาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวอีกว่า สามจังหวัดภาคใต้ชายแดนมีความโดดเด่นทางด้านวัฒนธรรมและชาติพันธ์ที่หลากหลาย มีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์ พร้อมที่จะพัฒนาศักยภาพ และยกระดับการท่องเที่ยวให้เป็นแลนด์มาร์คสำคัญของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ
อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ เนื่องจากมีพรมแดนติดต่อกับประเทศมาเลเซียและกำลังจะมีสนามบินเบตงที่จะเป็นการเชื่อมเมืองการท่องเที่ยว เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ชายแดน อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาและอุปสรรคอีกหลายๆด้านทำให้การพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ชายแดนไม่สามารถพัฒนาได้เต็มศักยภาพ
ด้าน นายนิมะ มะกาเจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา กล่าวขอบคุณมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และคณะเจ้าภาพร่วม ภาคส่วนต่างที่เกี่ยวข้องที่ให้ความสำคัญในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยวของสามจังหวัดภาคใต้ชายแดน ฃเพื่อให้ได้มาซึ่งแผนปฏิบัติการที่สามารถนำไปใช้ได้โดยภาคส่วนต่างๆให้บังเกิดการพัฒนาอย่างจริงจังและยั่งยืน
โดยเฉพาะกิจกรรมในวันนี้ที่มุ่งเน้นการจดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของสามจังหวัดภาคใต้ชายแดน และขอให้ภาคส่วนต่างๆ ได้ใช้โอกาสนี้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของสามจังหวัดภาคใต้ชายแดน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับการท่องเที่ยวของจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวจากอินโดนีเซียและประเทศสมาชิกอาเซียนตอนใต้ได้อย่างเต็มที่ แผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการที่เหมาะสมและชัดเจนนี้ จะช่วยให้การพัฒนาอยู่บนพื้นฐานเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง โครงสร้างพื้นฐานที่ดีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และบุคลากรด้านการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้ทั้งสามจังหวัด มีข้อได้เปรียบในการแข่งขันและสามารถพัฒนาการท่องเที่ยวให้เติบโตได้อย่างมั่งคั่งและยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี