“ม้าเร็ว” หรือภาษาอังกฤษคือ “แมสเซ็นเจอร์ (Messenger)” เป็นอาชีพเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยโบราณ คนเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้าทำหน้าที่นำจดหมายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยเร็วที่สุด โดยอาจใช้ม้าเพียงตัวเดียวกรณีระยะทางไม่ไกลนัก แต่หากต้องเดินทางไกลข้ามเมืองก็จะมีสถานีไว้พักม้าตัวเดิมและเปลี่ยนม้าตัวใหม่แล้วเดินทางต่อทันที ในยุคที่การสื่อสารทางไกลอย่างโทรศัพท์ยังไม่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้
อย่างไรก็ตาม “ในยุค 4.0 ที่เทคโนโลยีด้านการสื่อสารเจริญก้าวหน้าไปมากชนิดที่โทรศัพท์มือถือเครื่องเดียวทำอะไรต่อมิอะไรได้แทบทุกอย่าง จนผู้คนในหลายสาขาอาชีพกลัวตกงานเพราะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี อาชีพม้าเร็วนอกจากจะไม่เสื่อมความนิยมลงแล้วยังกลับเติบโตสูงขึ้นอีกต่างหาก” ซึ่งพวกเขาไม่ได้ใช้ม้าเนื้อตัวเป็นๆ อีกต่อไป แต่หันมาใช้ “ม้าเหล็กสองล้อ” หรือ “มอเตอร์ไซค์” เป็นพาหนะนำพาสิ่งของไปส่งยังที่หมาย
รายงานของ “EDTA” สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ซึ่งเปิดเผยเมื่อ2 ก.พ. 2562 ถึงการเติบโตของ “พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce)” หรือการค้าออนไลน์ในประเทศไทย ระบุว่าหากนับปี 2557 เป็นต้นมาจะพบการขยายตัวอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 8-10 ต่อปี นอกจากนี้ในปี 2551 มีผู้ใช้อินเตอร์เนตเพียง 9.3 ล้านคน แต่ในปี 2560 ประชากรชาวเนตไทยอยู่ที่ 45 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นราว 5 เท่าจาก 9 ปีก่อนหน้า
แน่นอนว่า “เมื่อการค้าออนไลน์เติบโต ธุรกิจรับ-ส่งสินค้า (Logistics) ก็เติบโตไปด้วย” ข้อมูลจาก สำนักพัฒนาและส่งเสริมธุรกิจบริการ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ที่เปิดเผยเมื่อกลางปี 2561 พบว่า การขยายตัวของการค้าออนไลน์ทำให้ธุรกิจรับ-ส่งสินค้าขยายตัวตามไปด้วย โดยคาดว่าเติบโตร้อยละ 10-20 ต่อปี จึงไม่ต้องแปลกใจที่ ณ วันนี้บนท้องถนนของเมืองไทยจะเต็มไปด้วย “ม้าเร็ว 4.0” เหล่าผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ที่รับงานบริษัทรับ-ส่งสิ่งของต่างๆ ผ่านแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ
ขณะเดียวกันก็ยังมีม้าเร็วอีกกลุ่มที่เป็นพนักงานประจำของบริษัทห้างร้านต่างๆ ที่ไปส่งเอกสาร รวมถึงส่งอาหารตามที่ลูกค้าสั่งผ่านสายด่วน ถึงกระนั้นไม่ว่าจะกลุ่มไหน “ทุกค่ายต่างแข่งขันโดยเอาความเร็วเป็นที่ตั้ง” ซึ่งก็เป็น “ดาบสองคม” เพราะกดดันให้ต้องขับขี่ด้วยความเร็วสูงชวนให้หวาดเสียวเพื่อไปให้ถึงตามเวลาที่กำหนด สุ่มเสี่ยงเกิด “อุบัติเหตุ” บาดเจ็บล้มตายทั้งตนเองและผู้อื่น
ทวี (ขอสงวนนามสกุล) ชายหนุ่มผู้รับงานขี่มอเตอร์ไซค์ส่งสินค้าให้กับผู้ประกอบการผ่านแอพฯ มือถือเจ้าดังอันดับต้นๆ ของวงการนี้ เล่าว่า ในแต่ละวันเขาจะใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนน 2 ช่วง ช่วงแรกเวลา 09.00-14.00 น. จากนั้นพัก 2 ชั่วโมงแล้วกลับมารับงานอีกทีในเวลา 16.00-21.00 น. โดยได้ค่าจ้างรอบละ 60 บาท แบ่งเป็นมาจากลูกค้า 10 บาท และจากบริษัทอีก 50 บาท โดยเฉลี่ยแล้วจะวิ่งงานราว 10-15 รอบต่อวัน
“เคยไปส่งช้าแต่ไม่โดนปรับเงิน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่มีโดนลูกค้าบ่นบ้างเวลาเจอลูกค้าเอาแต่ใจ ยอมรับว่าการวิ่งในแต่ละรอบก็มีเสี่ยงบ้าง เสี่ยงกับอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้นแหละ ส่วนเรื่องขับแข่งกับเวลามันอยู่ที่ตัวบุคคล บางคนเขาก็ขับแข่งกับเวลาเพื่อให้ได้โบนัส ตามช่วงเวลา โบนัสช่วงเวลาก็จะเริ่มประมาณ 10.00-14.00 น. มันจะได้รอบละ 80 บาท” ทวี กล่าว
เป็นที่ทราบกันดีว่า “ถนนเมืองไทยเสี่ยงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก” มีผู้สังเวยชีวิตหลักหมื่นคนต่อปี ซึ่งแม้รายงานของ องค์การอนามัยโลก (WHO) ที่เผยแพร่เมื่อปี 2561 อันดับการเสียชีวิตจากอุบัติบนท้องถนนของไทยจะลงมาอยู่ที่อันดับ 9 ของโลก จากเดิมอันดับ 2 หรือรองแชมป์ (ที่ไม่มีใครอยากได้) ในปี 2558 แต่อีกด้านหนึ่งยังพบว่า “คนไทยตายเพราะมอเตอร์ไซค์เป็นอันดับ 1 ของโลก” ซึ่งบรรดาม้าเร็วที่ทำงานแข่งกับเวลานั้นก็เป็นอีกกลุ่มเสี่ยง
นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) อธิบายถึงปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุของบรรดา “ม้าเร็วสองล้อ” เหล่านี้ ได้แก่1.ระบบคิดค่าตอบแทนตามจำนวนเที่ยว ซึ่งคล้ายกับกรณี “รถตู้โดยสาร”ที่ผู้ขับขี่จะใช้ความเร็วสูงไป-กลับเพื่อ “ทำรอบ” เพราะยิ่งวิ่งได้รอบมากก็ยิ่งได้ค่าตอบแทนมากไปด้วย 2.การโฆษณาแข่งกันที่ความเร็วเป็นหลัก จนลืมไปว่าบนท้องถนนย่อมมีเหตุไม่คาดคิด เช่น การจราจรติดขัด ทำให้ผู้ขับขี่ต้องขับขี่ในลักษณะเสี่ยงอันตราย
และ 3.ความไม่ชำนาญพื้นที่ จุดรับสินค้าบางแห่งอาจมีลักษณะปลีกย่อยเฉพาะตัว ทำให้ผู้ขับขี่อาจลืมตัว มือข้างหนึ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแผนที่หรือคุยกับลูกค้าขณะที่มืออีกข้างบิดคันเร่ง เสี่ยงต่อการเสียการทรงตัวและเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นจึงมี “ข้อเสนอเพื่อลดความเสี่ยง” ไล่ตั้งแต่กรณีเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่มีสาขาจำนวนมาก ควรมีระบบบริหารจัดการที่ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องวิ่งส่งสินค้าในระยะทางไกลเกินไปจนต้องใช้ความเร็วสูงเพื่อทำรอบ
ค่าตอบแทนที่ควรให้เป็นค่าแรงพื้นฐานในระดับมากพอสมควร ส่วนค่าเที่ยวให้ถือเป็นรายได้เสริมไม่ใช่รายได้หลัก นอกจากนี้ควรจัดหาอุปกรณ์ลดความเสี่ยง เช่น หูฟัง-ไมโครโฟน สำหรับพูดคุยกับลูกค้ากรณีต้องสอบถามจัดรับสินค้าระหว่างทางเพื่อจะได้ไม่ต้องใช้มือถือโทรศัพท์ หรือหากเป็นสิ่งของขนาดใหญ่หรือส่งครั้งละจำนวนมากๆ ควรให้ใช้บริการรถยนต์จะดีกว่า รวมถึงหากเป็นบริษัทที่มีมอเตอร์ไซค์ให้พนักงานใช้ทำงานควรเป็นรุ่นที่มีระบบเบรก ABS นอกจากนี้ต้องเผื่อเวลาในการเดินทางให้กับพนักงานด้วย
“หน่วยงานที่ไม่เผื่อเวลาให้คนที่ขับขี่บนถนน แล้วไปคาดหวังว่าถ้าคุณรับเอกสารไปคุณต้องไปลงนัดให้ทัน แล้วให้เขาไปลุ้นเอาเอง ไปเสี่ยงเอาเองบนท้องถนน ในเชิงระบบถ้าเรามีการสอบสวนแล้วพบความเสี่ยงลักษณะนี้หน่วยงานต้องเข้ามารับผิดชอบ อาจต้องทบทวนวางหลักเกณฑ์ให้ชัดว่าแมสเซ็นเจอร์จะมารับเอกสารไปส่งภายนอก จะต้องมารับเอกสาร รับข้อมูล และต้องมีเวลาให้เขามากพอที่จะไม่ต้องไปเร่งบนถนน” นพ.ธนะพงศ์ ยกตัวอย่างกรณีพนักงานรับ-ส่งเอกสาร
ในยุค 4.0 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ ที่เอื้อให้ผู้คนไม่ต้องใช้แรงเคลื่อนกายออกจากบ้านให้เมื่อย อยากได้อะไรเพียงกดสั่งกดซื้อคลิกเดียวผ่านหน้าจอเดี๋ยวก็มีผู้นำมาส่งให้ถึงที่ แถมด้วยความที่มีผู้ประกอบการหลายรายก็ทำให้ราคาค่าบริการถูกลงและได้รับสิ่งที่ต้องการเร็วขึ้นตามอันเป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งด้านหนึ่งคือความสะดวกสบาย แต่อีกด้านก็มีคนอีกกลุ่มต้องแบกรับความเสี่ยง
จะหาสมดุลอย่างไรระหว่างความสะดวกสบายกับความปลอดภัย?..นี่คือสิ่งที่สังคมไทยต้องช่วยกันคิด!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี