ผู้ป่วยในอำเภอกมลาไสย หวั่นปัญหาขาดยาต้องยืมกันกินเสี่ยงทำให้โรคกำเริบอาการทรุดช็อคตาย เหตุผู้ป่วยแต่ละคนได้รับยาในปริมาณที่ไม่เท่ากัน แต่ต้องกินร่วมกัน พร้อมรวมตัวกันเรียกร้องให้ รมว.สาธารณสุขเร่งแก้ไขปัญหา หลังเดินขบวนยื่นหนังสือแล้วเรื่องกลับเงียบเหมือนเดิม ขณะที่ตัวแทนชาวบ้านเปิดหลักฐานโรงพยาบาลกมลาไสยยืมยาและเวชภัณฑ์หลายพันรายการและค้างยาผู้ป่วยหลายร้อยราย ปูดปัญหาความผิดปกติการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ทำให้ รพ.เป็นหนี้กว่า 80 ล้านบาท
จากกรณีชาวบ้านใน อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ ลงชื่อยื่นหนังสือร้องเรียนให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องดำเนินการย้ายนายแพทย์ประวิตร ศรีบุญรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ ออกนอกพื้นที่โดยอ้างว่านายแพทย์สาธารณสุขไม่ให้สั่งซื้อยาจนทำให้โรงพยาบาลไม่มีสามารถสั่งซื้อยาจากบริษัทเพื่อนำมาแจกจ่ายยาให้กับผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เบาหวาน ความดัน และโรคไต ส่งผลให้ประชาชนขาดยารับประทานทำให้อาการป่วยทรุดลง ซึ่งทางโรงพยาบาลกมลาไสยยอมรับว่าขาดยาจริง เพราะไม่สามารถสั่งซื้อยากับบริษัทได้ เนื่องจากเป็นหนี้กับทางบริษัทหลายล้านบาท และเอกสารบิลสั่งซื้อยาถูกสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอายัดไปตรวจสอบนานแล้วแต่ยังไม่เสร็จ
จนชาวบ้านเรียกร้องให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เร่งสางปัญหาการตรวจสอบความผิดปกติการสั่งซื้อยาของโรงพยาบาลกมลาไสย กระทั่งปัญหาดังกล่าวบานปลายไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เนื่องจากไม่ได้รับยาจากโรงพยาบาลเช่นกัน จนไม่สามารถแจกจ่ายยาให้กับประชาชนได้ครบ ทำให้ผู้ป่วยต้องยืมยากันกิน
ล่าสุดเวันที่ 5 สิงหาคม 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านและผู้ป่วยใน ต.โคกสมบูรณ์ และ ต.โพนงาม อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ กว่า 50 คนได้รวมตัวกันเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่รับผิดชอบโดยตรงเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ ตรวจสอบปัญหาการสั่งซื้อยาของโรงพยาบาลกมลาไสยไม่ยังไม่แล้วเสร็จและไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน จนทำให้โรงพยาบาลไม่สามารถสั่งซื้อยาจากบริษัทได้ นำไม่สู่การขาดยารับประทานอย่างต่อเนื่องของผู้ป่วย จนต้องยืมยากัน ซึ่งชาวบ้านได้ร้องเรียนไปแต่เรื่องกับเงียบเหมือนเดิม
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวทำให้ชาวบ้านเกรงว่าหากปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข ชาวบ้านยังยืมยากันกินอยู่จะส่งผลกระทบต่อร่างกาย และทำให้อาการของโรคกำเริบและทรุดหนักกว่าเดิม เนื่องจากสภาวะร่างกาย รวมทั้งอาการของผู้ป่วยแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่กลับต้องมากินยาชนิดเดียวกันและปริมาณเท่ากันนั้น
นายทองดี บุญแสงสี อายุ 63 ปี หนึ่งในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลกมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตนได้รับการยารักษามาไม่ครบ ซึ่งทางโรงพยาบาลบอกว่าสั่งซื้อยายังไม่ได้และขอติดค้างไว้ก่อน หากยืมยาจากโรงพยาบาลอื่นมาได้จะนัดให้มาเอาวันหลัง ทำให้ตนกลับบ้านโดยได้รับยาไม่ครบและยาบางตัวกินหมดแล้ว โดยเฉพาะยารักษาระดับน้ำตาลและยาความดัน ซึ่งต้องไปยืมเพื่อนบ้านที่ป่วยโรคเบาหวานด้วยกันมากิน เพราะกลัวว่าระดับน้ำตาลจะสูงขึ้นและความดันจะเพิ่ม แต่ก็ไม่ทราบว่าจะได้ผลหรือไม่ เพราะคนที่ตนไปยืมยานั้นเป็นเพิ่งป่วยเป็นโรคเบาหวานมาไม่กี่ปี ส่วนตนนั้นป่วยมาหลายปีแล้ว จึงไม่ทราบว่ายาที่แพทย์สั่งจ่ายนั้นจะเป็นตัวยาเดียวกันหรือปริมาณเท่ากันหรือไม่
ด้านนายคงเดช เฉิดสถิต สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) กาฬสินธุ์ เขตอำเภอกมลาไสย ในฐานะตัวแทนชาวบ้าน กล่าวว่า ปัญหานี้ถูกปล่อยเรื้อรังมานานแล้ว โดยยังไม่ได้รับการแก้ไข จนปัจจุบันขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ กระทบไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และชาวบ้านขาดยา ต้องยืมกันกิน เพราะโรงพยาบาลสั่งซื้อยาไม่ได้ เนื่องจากเอกสารและความคืบหน้าการตรวจสอบการสั่งซื้อยาถูกสำนักงานสาธารณสุขดองเรื่องไว้ จนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกลายเป็นสูญญากาศ ขาดการดูแลและเหมือนกับถูกทอดทิ้งจากผู้บริหารของหน่วยงานสาธารณสุขทั้งส่วนกลางและระดับจังหวัด ซึ่งหากปล่อยให้ปัญหานี้ยืดเยื้อออกไปนานๆ ชาวบ้านและผู้ป่วยยังต้องยืมยากันกินอยู่อย่างนี้เกรงว่าจะกระทบกับการรักษาโรคและภาวะร่างกายได้ เพราะผู้ป่วยแต่ละคนโดยเฉพาะโรคเรื้อรังเบาหวานและความดัน
รวมทั้งโรคไตนั้นมีสภาพร่างกาย อาการของโรคแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่กับต้องมายืมยากัน กินยาชนิดและปริมาณเท่ากันนั้นเกรงว่านอกจากจะไม่ช่วยรักษาอาการของโรคแล้วจะทำให้อาการของโรคกำเริบเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้ ดังนั้น หน่วยงานที่รับผิดชอบควรที่จะเร่งดำเนินการแก้ไข จะทำอย่างไร วิธีใดก็รีบทำ การตรวจสอบความผิดปกติของการสั่งซื้อยาก็ดำเนินการไปใครผิดใครถูกว่ากันไปตามพยานหลักฐานข้อเท็จจริง ส่วนการดำเนินการจัดหายาก็ต้องดำเนินต่อไป เพื่อให้กระทบต่อผู้ป่วยและประชาชน ควรแยกให้ออกและเร่งแก้ไขก่อนที่จะสายเกินแก้
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลเอกสารจากทางโรงพยาบาลกมลาไสยพบว่ามีรายละเอียดสรุปรายการที่โรงพยาบาลกมลาไสย ยืมยาชนิดต่างๆหลายร้อยรายการจากโรงพยาบาลอื่นในจังหวัดเดียวกันรวม 9 แห่งและบันทึกรายการยืมเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นใช้ในการรักษาผู้ป่วยอีกหลายรายการ รวมทั้งรายชื่อผู้ป่วยที่โรงพยาบาลค้างยาตั้งแต่เดือนมกราคม-กรกฎาคม 2562 อีกหลายร้อยคน ซึ่งเรื่องดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโรงพยาบาลประสบปัญหาการสั่งซื้อยาและจ่ายยาให้กับผู้ป่วยไม่ครบ
ทั้งนี้ จากข้อมูลทราบว่าก่อนหน้านี้โรงพยาบาลกมลาไสยได้รับงบประมาณการจัดซื้อยาปีละกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งจากปัญหาการตรวจพบการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ที่ส่อไปในทางทุจริตการ โดยการยักยอกเงินกว่า 5 ล้านบาท จนทาง ปปท.เขต 4 เข้ามาตรวจสอบ ประกอบกับการตรวจพบความผิดปกติในการสั่งซื้อยาและเวชภัณฑ์ต่างๆทำให้ทางโรงพยาบาลกมลาไสยเป็นหนี้ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ และค่าอื่นๆรวมทั้งหมดกว่า 80 ล้านบาท
"ก่อนหน้านี้นายแพทย์วรวิทย์ เจริญพร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยางตลาด รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลกมลาไสย ยอมรับว่าโรงพยาบาลเป็นหนี้ค่ายากับบริษัทประมาณ 30 ล้านบาทและค่าเวชภัณฑ์อื่นรวมทั้งหมดกว่า 80 ล้านบาทจริง ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการแล้ว จึงทำให้การบริหารจัดการเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่ขณะนี้ตนไม่สามารถให้ข้อมูลได้ อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวประชาชนชาวอำเภอกมลาไสย รวมทั้งเจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาลของโรงพยาบาลกมลาไสยต่างพากันเรียกให้ผู้เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาปัญหานี้ เพราะมีการปล่อยปัญหาที่เป็นปัญหาภายในของโรงพยาบาลเรื้อรังมานานจนเกิดผลกับประชาชน" นายคงเดช กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี