หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้ให้โอวาทธรรมเกี่ยวกับ "พระเชือดคอตายไปนิพพาน" ซึ่งได้ตีพิมพ์ไว้หนังสือ "วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ" โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี ไว้ดังนี้
เรื่องพระเชือดคอตายแล้วไปนิพพานนี้มีมาในพระธรรมบท เรื่องเดิมมีอยู่ว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่กรุงราชคฤห์ที่พระเวฬุวัน ทรงปรารภการปรินิพพานของพระโคธิกเถระเรื่องมีอยู่ว่า พระโคธิกะ ท่านอยู่ใกล้ถ้ำกาลสิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ ท่านเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรพยายามปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญามิได้บกพร่อง เคร่งครัดในศีลทุกสิกขาบท
อาจจะบกพร่องบ้างในส่วนที่เป็นอภิสมาจาร คือ เกี่ยวกับจริยาเล็กน้อย ไม่ใช่โทษรุนแรง เช่น ปาจิตตีย์เป็นต้น ระงับนิวรณ์ห้าได้ดีตามสมควรเมื่อต้องการระงับนิวรณ์จิตทรงฌานได้บางคราว บางสมัย แต่ท่านมีโรคชนิดหนึ่งประจำร่างกาย เมื่อโรคกำเริบฌาณก็ลดตัวลง เมื่อร่างกายไม่มีโรคเบียดเบียน ไม่มีทุกขเวทนากล้าเกินไป ฌาณก็เกิดขึ้น มีกำลังสมาธิดี จิตสงบระงับมีความสุข ท่านทรงฌานที่สองบ้างที่สามบ้างให้เกิดขึ้นถึง 6 ครั้ง
เมื่อฌาณเกิดขึ้นแล้วก็สลายตัวไป เพราะโรครบกวน ท่านคิดในใจของท่านว่าสมาธิคือกำลังทรงฌานของเราไม่แน่นอนประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวเสื่อม ต่อไปถ้ากำลังใจของเราทรงฌานได้ดีตามที่ควร เราจะเชือดคอให้ร่างกายตายเสียเวลานั้นเพราะการตายในระหว่างจิตทรงฌานย่อมมีคติคือที่ที่จะไปเกิดแน่นอน อย่างต่ำเป็นเทวดาได้ อย่างกลางเป็นพรหมได้ถ้าจิตแจ่มใสจากกิเลสสามารถไปนิพพานได้เลย ท่านจึงเตรียมมีดสำหรับโกนผมเอามาถือไว้ในมือ เตรียมเชือดคอเมื่อจิตมีอารมณ์เป็นสุขในสมาธิพร้อมที่จะตัดก้านคอได้ทันทีทันใดที่ต้องการ
**พระยามารตกใจ**
ในเวลานั้นมีพระยามารที่มีความต้องการไม่ให้พระไปนิพพาน ด้วยท่านเองก็ปรารถนาพุทธภูมิหวังเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคต ท่านคิดด้วยอารมณ์ของความเมาในกิเลสตามภาษาคนโง่ของท่านว่า ถ้าพระสมณโคดมสอนให้คนไปนิพพานหมด เวลาที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้าจะไม่มีลูกศิษย์หรือสาวกรับคำสอน(ท่านโง่ขนาดนี้)แต่ก็อย่านินทาท่านเลยเพราะท่านโง่น้อยกว่าคนเขียน คนเขียนคืออาตมาโง่เหนือท่าน จึงพูดกันเพียงแค่รู้เรื่องว่าท่านเมาความเป็นครูมากไปหน่อย เล่าเรื่องกันต่อไปเพราะอาศัยความโง่ของพระยามารบางประการและความฉลาดบางกรณีย์ เมื่อรู้ความรู้สึกนึกคิดของท่านพระโคธิกะแล้วท่านก็เกิดความรู้สึกตามความเป็นจริง (ตอนนี้ฉลาด) ว่า พระองค์นี้นำอาวุธมาเพื่อตัดก้านคอตนเอง ก็คนที่จะฆ่าตนเองได้นั้นจิตใจของผู้นั้นย่อมไม่อาลัยในชีวิตของตนเอง ถ้าท่านผู้นั้นเคยเรียนวิปัสสนามาแล้ว ตัดสินใจตามนี้ก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้
ท่านพระยามารคิดว่าถ้าเราจะห้ามเธอ เธอคงไม่เชื่อเรา เราควรไปบอกพระสมณโคดมผู้เป็นอาจารย์ให้มาห้าม ท่านโคธิกะ อาจจะรับฟังและปฏิบัติตาม เมื่อคิดแล้วก็เข้าไปหาพระพุทธเจ้าด้วยเพศที่คนอื่นไม่รู้จักแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เวลานี้สาวกของท่านองค์หนึ่งกำลังจะฆ่าตัวตาย เธอยังไม่ได้บรรลุธรรมเบื้องสูงสุด คือยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ขอท่านจงไปห้ามสาวกของท่าน อย่าให้ด่วนฆ่าตัวตายเลยเพื่อเป็นการสงเคราะห์ให้อยู่ปฏิบัติเพื่อมรรคผลเบื้องสูงสุดต่อไป
ในเวลาที่พระยามารกราบทูลพระพุทธเจ้าอยู่เวลานั้นเป็นเวลาเดียวกันกับที่ท่านโคธิกะนำมีดมาเชือดคอตายพอดี
ถ้าจะถามว่า การที่พระโคธิกะเชือดคอตาย พระพุทธเจ้าท่านทราบไหม ก็ต้องตอบว่าทราบ ถ้าจะถามว่า ทำไมท่านไม่ห้าม ก็ต้องตอบว่าท่านสอนให้คนไปนิพพาน ในเมื่อพระโคธิกะท่านจะไปนิพพานทำไมจะต้องห้าม ฟังเรื่องของท่านต่อไป
เมื่อท่านพระยามารพูดจบ พร้อมกับเห็นพระโคธิกะเชือดคอตายพอดี ท่านจึงตรัสกับพระยามารว่า
ดูก่อนมารผู้มีบาป นักปราชญ์ย่อมไม่ห่วงชีวิต ทุกคนเห็นว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง มีแต่ความทุกข์ ย่อมไม่ปรารถนาเห็นชีวิตว่ามีความสำคัญ ย่อมสละชีวิตเสียได้เพื่อธรรมคือความอยู่เป็นสุข โคธิกะลูกชายของเราก็เป็นเช่นนั้น เธอถอนตัณหาเสียได้พร้อมทั้งราก เวลานี้เธอไปนิพพานแล้ว
ตอนนี้ขอคุยกันนิดนึง ท่านที่หวังนิพพานให้ดูอย่างพระโคธิกะ แต่จงอย่าเอาอย่างพระโคธิกะ คืออย่าเอาอย่างอาการที่ฆ่าตัวตาย ให้ดูอย่างอารมณ์ตัด เราไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าตัวตายอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ทรงรับรองแล้วตามความรู้สึกของพระยามาร คือเมื่อใครไม่ห่วงชีวิต คือไม่หลงใหลว่าร่างกายจะทรงอยู่ตลอดกาลทราบตามความเป็นจริง ตามที่พระองค์ตรัสไว้ในที่หลายแห่งว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยงความตายเป็นของเที่ยง ต่อมาก็ไม่มีความอาลัยคือไม่หลงใหลในร่างกายเกินไป รู้ว่ามันตาย ใช้ปัญญาให้รู้ทุกอย่างที่เรามีก็เพราะร่างกาย ตัดสินใจง่ายๆว่า เมื่อมันยังทรงชีวิตอยู่เราจะทํานุบํารุงมันตามที่ควร มันพังเมื่อไรก็เลิกมีร่างกายต่อไป เมื่อใจคิดอย่างนี้เป็นปกติ ความโลภ ความโกรธ ความหลงจะค่อยๆสลายตัวลงในที่สุดก็หมดไปเอง และหมดเร็วมาก ตายเมื่อไรไปนิพพานเมื่อนั้น อย่างพระโคธิกะ ต่อไปก็พูดเรื่องพระโคธิกะ
พระพุทธเจ้าตรัสแล้ว ก็พาพระไปที่พระโคธิกะนอนคืออาวุธเชือดคอ เวลานั้นพระยามารคิดว่าเวลานี้วิญญาณของพระโคธิกะอยู่ที่ไหน (คำว่า วิญญาณ หมายถึงจิต ตามความรู้สึกของผู้อ่านตำรา แต่ว่าตามความรู้สึกของท่านที่ได้วิชชาสามขึ้นไปท่านเรียก อทิสสมานกาย) เธอพยายามค้นคว้าในจักรภพทุกแห่งก็ไม่มีทางพบ
เมื่อพระยามารค้นหาวิญญาณ คือที่เกิดของพระโคธิกะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสกับพระที่อยู่ในที่นั้นให้ทราบว่า พระยามารพยายามค้นหาที่เกิดของพระโคธิกะ ฝ่ายพระยามารเมื่อหมดปัญญาก็กลับมาถามพระพุทธเจ้าพระพุทธองค์ก็ทรงยืนยันว่าพระโคธิกะนิพพานแล้ว
เอาพระสูตรนี้มาเล่าสู่กันฟังก็เพื่อให้ทราบว่า การที่จะไปนิพพานได้นั้นก็คือ มีจิตใจที่หมดห่วงในร่างกายตามที่อธิบายมาแล้ว ที่นำเรื่องนี้มาเขียนก็เพราะว่า หากท่านที่ปฏิบัติเบื้องต้นคือมีอารมณ์ทรงสมาธิได้บ้างพอควรใจร้อนใคร่ด่วนต้องการอารมณ์พระนิพพานละก็จะได้ทราบว่า "เมื่อต้องการพระนิพพานจริงๆ แล้วต้องตั้งอารมณ์อย่างไร แต่ทว่าไม่ต้องเชือดคอตายก็แล้วกัน เอากันเพียงเบื่อร่างกายและวางเฉยต่ออารมณ์ที่กระทบทุกอย่าง"เท่านี้พอแล้ว เป็นอันว่าพระสูตรมีคำอธิบายอยู่ในตัวพอแล้วก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้
.......................
คัดลอกจากหนังสือวิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ โดย พระสุธรรมยานเถระ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี