หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้ให้โอวาทธรรมเกี่ยวกับเรื่อง "ตายอย่างคนดี" ซึ่งได้ตีพิมพ์ไว้หนังสือ "ธรรมปฏิบัติ 22" ไว้ดังนี้ ... เมื่อวานนี้พูดถึงอารมณ์ของพระสกิทาคามี ความจริงเที่ยวนี้อยากจะพูดให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เข้าใจว่าการเจริญเพื่อมรรคผล ถ้าเดินสายสุกขวิปัสสโกจริงๆ นี่ไม่หนัก ที่เราเรียนกันหนักก็ไปทำฌานสมาบัติแต่ความจริง ฌานสมาบัตินี่ก็มีความจำเป็น ถ้าเราไม่สามารถจะรวบรวมกำลังใจได้ ก็ต้องอาศัยสมาธิช่วย เพราะว่าสายสุกขวิปัสสโกจริงๆเขาใช้สมาธิเบาๆ ถือว่าใช้อารมณ์คิดมากกว่าอารมณ์ทรงตัวใช่ไหม
อารมณ์คิดก็หนึ่งไม่ลืมความตายแย่ไหม เขาเรียกว่าพูดถึงความยากจนก็หูฉี่ พูดถึงความมั่งมีก็ตาใส ใช่ไหม ไอ้หัวฉี่เป็นอย่างไร บอกพูดถึงความจนใจมันเหี่ยว ถ้าพูดถึง รวยบอกนี่ไปคราวนี้จะถูกหวยตาโพลง ใช่ไหมนะแต่เอาจริงเอาจังหวยเขาถูกแต่ละวันไม่ได้ กินไปเลยเลยตาปิดไปเลย
**กีฬาสมาธิ**
วิธีปฏิบัติแบบง่ายๆ ถ้าใจไม่สบายอารมณ์กระสับกระส่ายก็ใช้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้าออกสงัดเป็นกรรมฐานที่มีความสำคัญที่สุด เพราะอะไรเพราะว่าเราจะทรงฌานสมาบัติ หรือจิตเป็นสมาธิได้ ขึ้นกับอานาปานุสสติกรรมฐานเป็นสำคัญมาก เจริญพระกรรมฐานกองไหนก็ตามถ้าทิ้งอานาปานุสสติคือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก จะไม่มีผลเลย
แม้แต่ท่านที่ทรงอภิญญาสมาบัติ อันดับแรกก็ต้องจับลมหายใจเข้าออกก่อน แต่ว่าจับไม่นานนะ จับพร้อมกันพอเริ่มจะทรงฌานก็จับลมหายใจเข้าออกพร้อมกับกรรมฐานกองที่ต้องการ นั่นเขาชำนาญแล้วแต่เรายังไม่ชำนาญก็ใช้วิธีรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก ภาวนาด้วยก็ได้ ใช้เวลาสัก 3 นาทีสัก 5 นาทีหรือ 10 นาที หายใจให้สบายพอใจสบายแล้วก็มาพิจารณาหาความจริงนี่ว่ากันถึงด้านสุกขวิปัสสโก
ความจริงอย่าไปดูถูกสุกขวิปัสสโกนะ ท่านเป็นอรหันต์ได้นะ สายอรหันต์ก็สายนี่แหละ ถ้าสายอื่นถือว่าเป็นกีฬาสมาธิเหมือนกับนักเรียน นักศึกษาที่เขาจะรับรองสอบชั้นนั้นชั้นนี้ได้เพราะวิชาในห้องเรียน ไอ้เรื่องกีฬา นี่เขาให้นิดหน่อยเท่านั้นเอง นี่ก็เหมือนกัน พอใจสบายก็มานั่งพิจารณาร่างกาย กายเราก็ดีกายบุคคลอื่นก็ดี ตายหมด ตายไหมตายเหรอ เดี๋ยวนี้ตายหรือยัง เอ้า!โกหกพระ ถามว่าตายไม่ตายเดี๋ยวนี้ตายหรือยัง บอกยัง ความจริงน่ะคุณตายมานานแล้วนะ เดี๋ยวนี้ความเป็นเด็กมันเหลือหรือเปล่าไม่มี ความเป็นหนุ่มก็เริ่มหายไปใช่ไหม นี่สภาวะของชีวิตมันตายไปทีละหน่อยละหน่อย
ถ้าหากเราเกิดมาแล้วเป็นคนไม่ตาย เมื่อเป็นเด็กๆก็ต้องทรงตัวอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย นี่เด็กหายไปแสดงว่าสภาวะความเป็นเด็กตายไปแล้วใช่ไหม แล้วตอนนี้คุณก็เป็นหนุ่มหน่อยๆอายุเท่าไรนี่ 40 กว่าๆหนุ่มหายไป 40 ปี อีตอนกว่านั้นหนุ่มนะ 40 ปีหายไปแล้ว ขึ้นชื่อ ว่าความตายของเราน่ะมันมีทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าทีถือว่าเกิดทีหนึ่ง หายใจออกครั้งก็ตายไปครั้งหนึ่งใช่ไหม หายใจเข้าอีกครั้งหนึ่งมันก็เกิดใหม่มันเป็นสันตติ
นี่ชีวิตของเราที่ว่าตายเราจะเห็นว่าเราจะต้องกินอาหารทุกวัน เราไม่กินสัก 3 วันเป็นอย่างไร แล้วไปเล่นกีฬาวิ่งแข่งกับเขาไหวไหมไม่ไหว นั่นแสดงว่าอาหารเก่ามันหมดไปเราก็ต้องเอาอาหารใหม่ไปเพิ่มเติม เติมไปเติมมาเติมมาเติมไป ผลที่สุดเติมเท่าไรมันก็ไม่ยอม ตาย ไม่ยอมให้เติม
นี่เป็นอันว่าชีวิตของเราเคลื่อนเข้าไปหาความดับทุกขณะจิต คิดไว้เสมอว่าคนทุกคนและสัตว์ทั้งหมดในโลกไม่มีใครทรงตัว ไม่มีใครอยู่ได้ตลอดกาลตลอดสมัย ในเมื่อเขาอยู่ไม่ได้เราจะอยู่ได้อย่างไร อยู่ได้ไหมเขาตายหมดโลกคุณอยู่คนเดียวผีหลอกตายโหงใช่ไหม ในเมื่อเราก็คิดถึงความตายว่าความตายมันต้องมีอยู่
นี่สำหรับพระโสดาบันสกิทาคามีเขาคิดแค่นี้นะอย่างเช่นว่าถ้าเราจะตายก็ตายอย่างผีดี ถ้าอยู่ก็อยู่อย่างคนดี ถ้าเวลาตายไปแล้วเราจะมีความสุข เราก็ต้องหาปัจจัยความสุขในปัจจุบัน นั่นก็คืออันดับแรกยอมรับความดีของพระพุทธเจ้าแต่อย่าไปยอมรับเฉยๆนะ ท่านเทศน์มาว่าอะไรดี ลองพิจารณาก่อนว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญคนที่ฟังแล้วเชื่อโดยไม่ใช้ปัญญา เพราะท่านถือว่าคำสอนของท่านเป็นของจริง
**สุขจากศีล**
พระพุทธเจ้าบอกว่าพวกเรารักษาศีลดีมีความสุข ถ้าไม่รักษาศีลมันมีความทุกข์ คุณก็ลองคิดดูว่าศีล 5 นี้ท่านบอก
1.อย่าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน อย่าคิดประหัตประหารเขา ถ้าเดินๆตรงหน้าเข้าไป เราชกหน้าเพื่อนเข้าเปรี้ยงเขาทำอย่างไร เขายกมือไหว้เหรอเขาก็ล่อเราปังเข้าให้เราก็หงายท้องไปใช่ไหม นี่การประหัตประหารซึ่งกันและกันผลมันเป็นความทุกข์
นอกจากว่าเราจะต้องถูกประหารตอบเราก็มีศัตรู แล้วคนที่เราทำร้ายเขาเขาไม่ใช่คนเดียว เขามีพ่อแม่พี่น้อง มีพวกพ้องมีญาติ แล้วในกลุ่มคนทั้งหมดนั่นแหละที่เขาเป็นพวกกัน เขาก็เกลียดเราใช่ไหม เมื่อคนเกลียดเรามาก เราไปไหนเราก็มีความทุกข์มาก ต้องระวังระไวมากหลับก็ไม่เป็นสุขตื่นก็ไม่เป็นสุขเพราะเกรงว่าเขาจะมาทำร้ายเรา
เป็นอันว่าศีลข้อที่หนึ่ง เราก็เห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงให้มีความเมตตา มีความรักซึ่งกันและกัน อย่าคิดประหัตประหารซึ่งกันและกัน ถ้าคนทั้งหมดรักกันมันจะมีอันตรายไหม มีไหมทำไมมี คนรักกันทั้งหมดมีอันตราย หมากัดนี่เราต้องเป็นเพื่อนกับหมาอีก เป็นได้ไหม
เออ...คนเราถ้าลองไม่เป็นเพื่อนกับหมา ซวยทุกคนนะเป็นเพื่อนกับหมาทำยังไง หาขนมให้มันกินใช่ไหม แต่คนที่เอาขนมให้สุนัขกิน เขาแปลว่าคนที่มีจิตเมตตา กรุณา สองประการ ถ้าเรามีเมตตากรุณาอยู่สองอย่างคุมใจ อันตรายที่จะพึงเกิดก็บังเกิดยาก ถ้าใครจะคิดกลั่นแกล้ง ไอ้ผลร้ายน่ะจะตกกับเขาเอง
นี่ข้อที่ 2 พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าลักอย่าขโมยทรัพย์สินซึ่งกันและกัน อย่าคดโกงกัน ไอ้การคดโกงซึ่งกันและกันนี่ก็เป็นปัจจัยอันหนึ่งให้เกิดศัตรูใช่ไหม
ถ้าเราไม่ลักไม่ขโมยเขา นอกจากการลักการขโมย พระพุทธเจ้าบอกให้บริจาคทาน การสงเคราะห์แทน แทนที่เราจะขโมยเราเป็นผู้ให้ แล้วก็ให้ตามฐานะ การลักขโมยการคดโกงทรัพย์สินของบุคคลอื่น มันสร้างศัตรู แต่การให้นี่เป็นการสร้างความรักถูกไหม ถูกเหรอ เดี๋ยวคืนสตางค์ให้ฉันพันบาท ถ้าคุณให้ฉันพันบาท ฉันรักคุณหนึ่ง ใช่ไหม (หัวเราะ)ให้ 10 บาทรัก 10 บาท
แล้วก็ข้อที่ 3 คนรักเรารักอยู่ เราก็ไม่อยากให้ใครมายื้อแย่ง นี่ถ้าเราไปแย่งความรักคนอื่นก็เป็นปัจจัยให้เกิดศัตรูใช่ไหม ตอนนี้พระพุทธเจ้าให้ทรงสันโดษให้ยินดีเฉพาะคู่ครองของเราที่มีอยู่ อย่างนี้เราไปที่ไหนก็เป็นที่รักของคนทุกคน
ข้อที่ 4 สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า จงอย่าพูดโกหกชาวบ้านเขา อย่าพูดคำหยาบ อย่าสอดเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน อย่าใช้วาจาสำหรับเป็นเครื่องสะเทือนใจ วาจาทั้งหมดนี้มันเป็นวาจาที่ไม่ดี เราเองก็ไม่ชอบใช่ไหม ในเมื่อเราไม่ชอบคนอื่นเขาก็ไม่ชอบ
ถ้าเราเว้นเสียได้ใช้แต่วาจาสัตย์ เป็นความจริง ใช้แต่วาจาที่อ่อนหวาน แทนที่เราจะยุให้เขาแตกกัน เราก็สร้างความสามัคคีให้เขาเกิดความรักกัน วาจาใดที่กล่าวไปให้เป็นประโยชน์ อย่างนี้เราก็เป็นที่รักของทุกคนถูกไหม ถูกเหรอถูกแล้วอย่าไปโกหกชาวบ้านเขานะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าโกหกเมีย แล้วไอ้พวกผู้ชายนี่ เห็นเป็นหนุ่มโสดเมียเผลออยู่เสมอ ฮึ่!เมียเผลอเมื่อไหร่โสดทุกทีจริงไหม
ไอ้อ้วนถูกไหมนี่อย่างนี้พอกลับมาบ้านเมียด่าก็หาว่าเมียไม่ดีใช่ไหม จำไว้นะเคยโกหกเมียไว้เปล่าพูดไม่ออกสิ(หัวเราะ) อาตมาตั้งแต่เกิดมาไม่เคยโกหกเมียเลยเพราะฉันไม่มีกับเขา(หัวเราะ) อีนี้ฉันเบ่งได้ เป็นอันว่าเมียฉันไม่เคยด่าฉันสักทีเพราะฉันไม่มีนะ ถ้ามีน่ากลัวถูกด่ามากเหมือนกันนะ อาจจะถูกด่ามากกว่าคุณ(หัวเราะ) อาตมารู้ตัวเลยเลี่ยงไป
**สิทธิพิเศษคนเมา**
นี่การดื่มสุราเมรัยมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ บางคนกลุ้มก็ไปกินเหล้าแก้กลุ้มพอหายเมาแล้วเลยเพิ่มกลุ้ม ก็หมดสตางค์ไปอีก ดีไม่ดี พอกินเหล้าหายกลุ้มเดินเข้าตารางไปเลยแก้กลุ้ม?ใช่ไหม
ไอ้เรือนจำนี่เขาตั้งไว้เลี่ยงถนนไกลประตูก็ปิดมิดชิดดี ไอ้เราคนดีๆจะเข้าเขาบอกยังไม่ถึงเวลาครับใช่ไหม จะมาเยี่ยมใครต้องวันนั้นวันนี้ ต้องเวลาเท่านั้นเท่านี้ แต่ความจริงคนเมานี่เขาสบายมีอำนาจ พอเดินเข้าไปประตูเปิดอ้ากว้างต้อนรับอย่างดี พอเข้าไปแล้วท่านพัศดี ท่านผู้คุมท่านรักมากเกรงว่าจะหนีไปไหน ความรักท่านมีนะเวลาจะนอนท่านก็ร้อยขาเป็นพรวน
(หัวเราะ) ห้ามลุกนะเคยเห็นไหม อ้าว!ไม่เคยลองเข้าไปทีนะขอสมัครอยู่สัก 3 เดือนก็พอ
แล้วเวลาจะนอนทรมานจริงๆ เวลานี้การตีตรวนน้อย สมัยของอาตมาเด็กๆ เขาตีตรวนมาก เดินเข้าไปข้างเรือนจำเสียงโฉ่งเฉ่งคล้ายๆกับเสียงดนตรี แต่ว่าเวลานอนดีจริงๆนอนแล้วขาก็วางข้างๆ มันเป็นราวเป็นหูโซ่ก็คล้องขาเอาเชือกไอ้เหล็กยาวๆร้อย แหม...สบาย
(หัวเราะ) นอนอย่างมีระเบียบ นี่มันเป็นอย่างนี้
**การทรงฌานในศีล**
ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าการละเมิดศีล 5 เป็นของไม่ดี เราก็ช่วยกันคิดใช้ปัญญาคิด ว่าที่ว่าไม่ดีน่ะจริงไหม ถ้าเราเห็นว่าจริงเราก็อย่าละเมิดศีล 5 นี่คือการที่เราไม่ละเมิดศีล 5 ตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จะไม่ข่มเหงทำร้ายซึ่งกันและกัน เราจะไม่ลักไม่ขโมยใคร เราจะไม่ยื้อแย่งความรักไม่ละเมิดความรักของบุคคลอื่น จะไม่ใช้วาจาไม่จริง วาจาหยาบ วาจาส่อเสียดวาจาเพ้อเจ้อ จะไม่ดื่มสุราเมรัย ขณะใดที่จิตคุมตัวอยู่อย่างนี้คิดอยู่แบบนี้เขาเรียกว่าสีลานุสสติกรรมฐาน
การเจริญสีลานุสสติกรรมฐานนะไม่ใช่ไปนั่งภาวนา คือตั้งใจควบคุมศีลจนกระทั่งอารมณ์จิตเป็นปกติ พอเป็นปกติก็มีอารมณ์ชินเราไม่ละเมิดในศีลก็ชื่อว่าเป็นผู้มีฌาณในศีลมีฌาณในสีลานุสสติกรรมฐาน
สำหรับความเคารพในพระพุทธเจ้าความเคารพในพระธรรมความเคารพในพระอริยสงฆ์ก็เหมือนกันที่เราภาวนาว่าพุทโธก็เพื่อเป็นการยับยั้งกำลังใจให้ฝึกให้มันทรงตัว แต่ถ้าหากว่าถ้าอารมณ์ของเราคุมอยู่เป็นปกติขึ้นชื่อว่าพระรัตนตรัยเราไม่ปรามาส แต่จะถามว่าเห็นพระไปกินเหล้าจะว่าอย่างไร ถ้าหากว่าเขาไปกินเหล้าก็แสดงว่าเขาไม่ใช่พระใช่ไหม
พระแปลว่าผู้ประเสริฐย่อมไม่ทำความชั่ว ถ้าทำความชั่วก็ถือว่าเขาเป็นโจรปล้นพระพุทธศาสนา อันนี้ไม่ควรสนับสนุนแล้วก็ไม่ควรยกมือไหว้ ถ้าไปสนับสนุนก็ชื่อว่าเราช่วยสนับสนุนให้เขาทำลายพระศาสนาใช่ไหม อย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่ติคนประเภทนี้พระพุทธเจ้าไม่ถือว่าปรามาสพระรัตนตรัย
**ปรามาสพระพุทธเจ้า**
จะเห็นได้ว่าเมื่อภิกษุโกสัมพีทะเลาะกัน พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ฟัง ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็หนีไปอยู่ป่าปาลิไลยกะ ตอนหลังจะออกพรรษา พระพวกนี้จะเข้ามาคำมาพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยที่พระพุทธเจ้าหลีกไป เวลานั้นพระอริยเจ้าทั้งหลายตั้งแต่พระโสดาบัน สกิทาคามีอนาคามีซึ่งเป็นฆราวาส ท่านไม่ยอมใส่บาตรให้พระพวกนี้กินเลย
เห็นไหมไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าโกนหัวห่มผ้าเหลืองแล้วจะถือว่าเป็นพระ นี่คำว่าพระก็ต้องเป็นผู้ทรงคุณธรรม อย่างน้อยก็มีพระวินัยครบถ้วนแล้วก็ต้องมีธรรมทรงตัวบ้าง นี่เรียกว่าสาธุชนนะ อย่างดีเข้าไปอีกนิดมีพระวินัย มีศีลครบถ้วนวินัยก็คือศีล แล้วก็ทรงฌานสมาบัติ เขาเรียกกัลยาณชน ยังไม่เรียกว่าพระ
ถ้าพระจริงๆ ต้องเป็นตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปพระพุทธเจ้าจึงเรียกว่าพระนี่สำหรับฆราวาสที่มีสามีมีภรรยามีบุตรธิดานั่งกันแถวนี้ถ้าเป็นพระโสดาบันพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าพระเหมือนกันคำว่าพระก็อยู่ที่ความดีหรือความชั่วของจิต พระจริงๆไม่ได้อยู่ที่เพศที่ครอง ครองผ้าเหลืองไว้เป็นพระ นี่มันยังไม่แน่
ต่อมาเมื่อเวลาออกพรรษาพระพวกนั้นจะมาขอขมาโทษองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วัดเชตวัน ตอนนั้นจะเข้ามาในเขตเมืองของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลได้กราบทูลพระพุทธเจ้า บอกข้าพระพุทธเจ้าจะไม่ยอมให้นักบวชเลวๆพวกนี้เข้าในเขตเมือง เห็นไหมว่าเขาไม่ใช่สักแต่เห็นว่าคนโกนหัวใช่ไหม
พระพุทธเจ้าก็ขอพรพระมหาบพิตร พระพวกนี้ความจริงยังมีศีลอยู่แต่ว่าเขาไม่เชื่อในคำห้ามปรามของตถาคต เขาจะมาขอขมาโทษให้เขาเข้ามาเถอะ นี่พระพุทธเจ้าสงสารพระนะ แต่ความจริงมันเกือบจะไม่ใช่พระอยู่แล้ว อาตมาคิดว่าไม่ใช่พระแล้ว ถ้าลองไม่เชื่อพระพุทธเจ้า จะไปเชื่อใคร ดื้อด้านกับพระพุทธเจ้าแต่พระพุทธเจ้ามีพระมหากรุณาธิคุณ
เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลเห็นว่าพระพุทธเจ้าขอร้องก็ทรงยอม แต่ตอนที่จะเข้าวัดเชตวันมหาวิหารท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านสร้างถวาย ก็เลยกราบทูลพระพุทธเจ้าบอกข้าพระพุทธเจ้าข้าจะไม่อนุญาตให้พระทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมดเข้าในวิหาร เอาสิ! เจ้าของบ้านจะไม่ให้เข้าเสียแล้วท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีนั้นท่านเป็นพระโสดาบันเห็นไหม พระอริยเจ้าเขาไม่หลับหูหลับตานับถือพระหรอก แต่ว่าก็ไม่โทษใครนะเราก็รู้กันไม่ได้ว่าพระที่มาเดินกลางถนนดีหรือชั่วนี่ เรารู้ไม่ได้นะแต่ว่าถ้าเรารู้เขามีความประพฤติชั่ว เราก็เว้นเสีย
พระพุทธเจ้าก็ขอบอกว่าอย่าทำอย่างนั้นเลยพระพวกนี้จะมาขอขมาโทษกับอาตมาให้มาเถอะท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ยอมรับ เมื่อเวลาเข้าไปแล้วพระพุทธเจ้าให้พระ 500 รูปพวกนี้นั่งอยู่มุมหนึ่งโดยเฉพาะ เป็นพวกของตัวเองเข้าในวิหาร บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่มีอยู่ในนั้นก็ไม่ยอมนั่งรวมด้วย นี่ชาวบ้านเขามาถามว่าพระพวกไหนที่เป็นพระชาวเมืองโกสัมพีก็ชี้ให้ดูนะ แน่ะ!นั่งอยู่นั่นแหละพ่อเทวดา 500 นั่งอยู่แถวนั้นแหละพวกนั้นก็มาด่า คนนี้ก็มาด่า ฆราวาสเขาก็ด่าเขาก็แช่ง
พระมาก็ด่าก็แช่งหาว่าเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แกก็ได้รับความอายหนักๆเข้าทนไม่ไหวก็ต้องหมอบลงไปกับพื้นขอขมาโทษพระพุทธเจ้าแล้วไม่อยากลุกไม่อยากจะเห็นหน้าใคร ไอ้คนเขาด่าไม่ชนหน้าแล้วก็มอง พอถูกหัวแล้วก็เลยไปนะ
นี่เป็นอันว่าคำว่าพระไม่ได้อยู่ที่ผ้ากาสาวพัสตร์แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งฆราวาสที่ทรงความดีเขาก็ไม่เชื่อถือว่าผ้ากาสาวพัสตร์เป็นสำคัญ เขาถือความประพฤติปฏิบัติของท่านผู้บวชเป็นสำคัญ นี่ไม่ได้ไปยุให้เกลียดพระนะ พระอย่าเกลียดจงเคารพพระ แต่ว่าถ้าลูกชาวบ้านที่บวชมาไม่ดีอยากคบใช่ไหม อ้อ... จะหมดเวลาเสียอีกแล้วไปไม่ถึงไหน จอดอยู่แค่นี้
อันนี้ถ้าหากว่าเราจะเคารพในคุณพระรัตนตรัยก็นึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า ความดีของพระธรรมคำสั่งสอนความดีของพระอริยสงฆ์ ถ้าจิตทรงตัวอยู่อย่างนี้ ก็ชื่อว่าท่านมีพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติประจำใจ นี่อารมณ์คิดใช่ไหม แล้วก็นึกถึงความตายอยู่เป็นอารมณ์ ถือว่ามีมรณานุสสติกรรมฐานประจำใจ
ในเมื่อท่านทั้งหลายมีอารมณ์คิดนึกถึงความตายไม่ประมาทในชีวิตหนึ่งนึกถึงเรียกว่ามรณานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความดีพระพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสติกรรมฐาน นึกถึงความดีของพระธรรมเป็นธัมมานุสติกรรมฐาน นึกถึงความดีของพระอริยสงฆ์เป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน อารมณ์คุมจิตคุมศีลให้ทรงตัว จัดว่าเป็นสีลานุสสติกรรมฐานอย่างนี้ชื่อว่าเป็นสาธุชนคนดี ดีตรงนี้แต่ยังเป็นอนิยตบุคคล ตายแล้วลงนรกยาก แต่บางทีเผลอๆก็ลงได้เหมือนกันอย่างป้านี่นะ
**ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน**
แต่ว่าถ้ากำลังของบรรดาท่านพุทธบริษัทขยับเข้าไปอีกนิดนึง คิดว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นทุกข์ การเกิดเป็นสัตว์มันก็เป็นทุกข์ เราจะเป็นเทวดาหรือพรหมก็พักความทุกข์ได้ชั่วคราว เมื่อหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ ดีไม่ดีเผลอๆลงจากเทวดาเลยลงนรกไปเพราะกรรมที่ทำความชั่วมันมีอยู่ใช่ไหม เวลาที่ก่อนเราจะตายนี่เราทำความชั่วไว้ก่อนแต่อาศัยนึกถึงความดีเวลาจะตายมันก็ไปสวรรค์ ไปพรหมก่อน ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีจากเทวดาหรือพรหมไม่ค้างที่มนุษย์ ลงนรกใช้หนี้เขาไป อีท่านี้มันไม่ไหว ไหวไหม ไม่ไหว
ตอนนี้ในเมื่อเรามีมรณานุสสติกรรมฐานอยู่ มีพุทธานุสติกรรมฐาน ธัมมานุสติกรรมฐาน สังฆานุสติกรรมฐาน มีสีลานุสสติกรรมฐานดี แต่เอาแน่นอนไม่ได้ก็ใช้กำลังใจอีกนิดนึง ว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี การเกิดเป็นเทวดาก็ดี การเกิดเป็นพรหมก็ดียังไม่ชื่อว่าเป็นเขตแห่งการพ้นทุกข์จริง ดินแดนที่มีความสุขจริงๆ ก็คือพระนิพพาน
ฉะนั้นเวลาที่เราจะนึกถึงความตายก็ดีนึกถึงพระพุทธเจ้านึก ถึงพระธรรมนึกถึงพระสงฆ์ นึกถึงศีลแล้วก็ให้ทานการบริจาค เราคิดไว้เสมอว่าเราทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน ถ้าอารมณ์ใจของท่านทั้งหมดจับอยู่มีอารมณ์รักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ท่านเรียกบุคคลนั้นว่าพระโสดาบันกับสกิทาคามี
ตอนนี้แหละเวลาตายกี่ชาติๆมันก็ไม่ลงอบายภูมิ เรียกว่าประตูอบายภูมิปิดคือเราจะไม่ต้องเกิดเป็นสัตว์นรก ไม่ต้องเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานถึงแม้ว่าจะทำบาปกรรมไว้มากในกาลก่อนก็ตาม แต่ว่าบุญมีกำลังใหญ่ใช่ไหม ถ้าเป็นพระโสดาบันอย่างช้าเจ็ดชาติเราก็เป็นอรหันต์ ถ้าจิตมีความเข้มข้นจริงๆก็เกิดอีกชาติเดียวเป็นพระอรหันต์
แต่ทว่าคนที่มีความรักคือนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ก็ดี หรือว่านึกถึงพระพุทธเจ้า อย่างที่เราภาวนาว่าพุทโธเป็นปกติก็ดี นึกถึงพระธรรมอย่างที่เราภาวนาว่าธัมโมเป็นปกติก็ดี แล้วนึกถึงพระอริยสงฆ์ที่เราภาวนาว่าสังโฆเป็นปกติ แล้วนึกถึงศีลเป็นปกติ แล้วนึกถึงการบริจาคทาน อย่างบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนี่มีทั้งทานมีทั้งศีลมีทั้งภาวนา
แต่ว่าทั้งสามอย่างนี่เรารักอะไรมาก จิตใจมันก็ผูกพันมาก ทั้งสามอย่างนี่มันคงจะหนักอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีความหนักกว่า เขาให้ความหนักในความดีอย่างใดอย่างหนึ่งนี่ละ จะเป็นปัจจัยถ้าตายจากชาตินี้ก่อนจะตายเรายังไม่เป็นพระโสดาบันแต่ว่าคุมอารมณ์ความดีนี้ไว้ได้ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมถ้าเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อายุเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี่พันปีทิพย์ แต่ว่าจะนับในเมืองมนุษย์ 100 ปีของเราเป็น 1 วันของท่าน 30 วันของท่านเป็น 1 เดือน 12 เดือนเป็น 1 ปีคิดเฉลี่ยแล้วอายุของท่านเกินกว่าล้านปีมากใช่ไหม
นี่เราก็ไปนั่งมองอีกจุดหนึ่งว่าเมื่อไรพระศรีอาริย์เปิดตำรับดูซิว่าท่านเขียนว่าอย่างไร เปิดมาเปิดไปมันก็ไม่มีที่เปิดแล้วก็มานั่งพิจารณาตามอำนาจของสิ่งหนึ่งที่เราเรียกกันว่าเกิดด้วยอำนาจของญาณ ถ้าใครได้มโนมยิทธิก็ดี ได้ทิพย์จักขุญาณก็ดี ได้อภิญญาสมาบัติก็ดี เขาก็จะไปถามพระศรีอาริย์ได้ว่านับปีในมนุษย์อีกสักกี่ปีท่านจะลงมาตรัส คือตอนพระท่านบอกว่าท่านเคยไปถามกัน ถามกี่องค์กี่องค์ก็ตอบเหมือนกันหมด ที่ถามน่ะไม่ใช่ท่านนั่งอยู่ด้วยกันนะ ไปวัดนี้เขาถือว่าพระวัดนี้เป็นพระอภิญญาสมาบัติ
ถามว่าขึ้นไปสวรรค์เคยพบพระศรีอาริย์บ้างไหม ท่านบอกว่าไปนมัสการบ่อยแล้วเคยถามว่าพระศรีอาริย์เคยบอกว่าอย่างไร อีกกี่ปีมนุษย์จึงจะมาตรัสท่านก็ตอบว่านับในเมืองมนุษย์ได้ประมาณล้านปีเศษๆจะมาตรัสใช่ไหม กี่องค์กี่องค์ก็ตอบเหมือนกันก็คงจะไม่มีใครโกหก โกหกก็ไม่ได้สตางค์นิใช่ไหมนี่พระรุ่นเก่านะท่านได้อภิญญากันมาก ก็ชอบถามท่าน
อาตมาก็นั่งคำนวณว่าล้านปีเมืองมนุษย์มันได้เวลากี่ปีในเมืองสวรรค์น่าจะคิดกันจริงๆ แล้วถ้าเราอยู่ดาวดึงส์ก็ไม่เกิน 300 ปี แต่ความจริงอายุในดาวดึงส์เรามีสิทธิ์อยู่ถึงพันปีทิพย์ใช่ไหม ยังไม่ทันถึงครึ่งอายุพระศรีอาริย์ก็ตรัส เมื่อพระศรีอาริย์ตรัสทำอย่างไร เมื่อพระศรีอาริย์ท่านตรัส ท่านก็จะหาจุดอ่อนในจิตของเรา ไอ้คำว่าจุดอ่อนนี่หมายความว่าเราชอบใจธรรมะอะไรมากที่สุดตามที่พูดมาเมื่อกี้นี้
.....................................
คัดลอกจาก ธรรมปฏิบัติ22โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(พระมหาวีระ ถาวโร) วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี