แพทย์เผย “โรคซึมเศร้า” ไม่ใช่แค่คิดมาก อยากให้ช่วยกันสังเกต ระบุ WHO เตือนภายในปี 2030 เสี่ยงเป็นสาเหตุ “ฆ่าตัวตาย” ในกลุ่มวัย 15-29 ปี อันดับ 2 ของโลก
27 กันยายน 2562 นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เปิดเผยว่า โรคทางกายที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตนำโด่งเป็นอันดับต้นที่ใครๆก็ทราบดี คือ โรคหัวใจและหลอดเลือดนั้น อาจจะไม่ใช่อีกต่อไป เมื่อองค์การอนามัยโลก(WHO) พยากรณ์ไว้ใน Provisional agenda item 6-2 ตั้งแต่ปี 2011 ว่าในราวปี 2030 “โรคซึมเศร้า” จะขึ้นมาเป็นสาเหตุของภาระโรคในระดับโลก และได้ประมาณตัวเลขให้ไว้ว่าการฆ่าตัวตายนั้นเป็นเหตุการตายอันดับ 2 ในกลุ่มคนอายุ 15-29 ปี
“ขออย่าลืมว่าช่วงวัยนี้ คือ วัยหนุ่มสาวที่เป็นกำลังของทุกชาติ หากปราศจากความเข้าใจ โรคนี้จะทำให้สูญเสียชีวิตดีๆที่เปี่ยมคุณภาพไปอย่างมากมายทั้งที่เป็นเรื่องป้องกันได้ แต่ทำไมถึงยังตายกันอยู่อย่างน่าตกใจ แม้มียารักษาได้ก็ตาม นั่นเป็นเพราะมีคนป่วยซึมเศร้าเพียงไม่ถึง 50% ที่เข้าสู่ขั้นตอนรักษา หรือในหลายประเทศนั้นตัวเลขที่เข้ารักษาไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ ดังนั้นทางแก้จึงต้องให้ถูกจุดนั่นคือทำให้ตระหนักรู้ ถึงความน่าห่วงของมัน ในฐานะที่เป็นหมอที่ดูแลด้านสุขภาพชะลอวัย เรื่องซึมเศร้าถือเป็นปัจจัยใหญ่ที่ลิขิตชีวิตคนไข้ให้มีสุขภาพดีหรือร้ายได้ ซึ่งในเรื่องนี้ไม่ยากหากได้รับการรักษาจากจิตแพทย์” นายแพทย์กฤษดา กล่าว
ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวอีกว่า การตระหนักรู้เบื้องต้นสำหรับคนทั่วไป เพื่อสังเกต “สัญญาณโรคซึมเศร้า” ที่สะท้อนออกมาได้ดังนี้ คือ อารมณ์เปลี่ยนไป อ่อนไหวในเรื่องเล็กน้อย , ร้องไห้บ่อย , หงุดหงิดง่าย ผิดกับเมื่อก่อน , ไม่อยากทำกิจกรรมที่เคยชื่นชอบ เช่น ไม่อยากออกไปพบเพื่อนฝูง , เลิกเข้าวัด , ไม่อยากไปทำงาน , ไม่ลุกไปยิมอย่างเคยหรือเรื่องบนเตียงลดลง ,ไม่มีสมาธิ-ขี้ลืม โดยเฉพาะเรื่องใหม่ๆ เช่น เพิ่งวางของไว้ก็ลืม , ใจลอย ไม่อาจจดจ่อกับสิ่งเดิมๆได้ เช่น อ่านหนังสือได้ประเดี๋ยวก็วาง ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
การนอนผิดปกติ อาจนอนมากหรือนอนไม่หลับก็ได้ , อ่อนเพลียไม่มีแรงเหมือนคนไร้พลังจากข้างใน , น้ำหนักลดหรือน้ำหนักเพิ่ม จากภาวะกินผิดปกติไปจากเดิม , การปฏิบัติตัวกับคนรอบข้างไม่เหมือนเดิม อาจเก็บตัว พูดน้อย ขี้หงุดหงิดหรือทะเลาะกับแฟนบ่อยๆ , ประสิทธิภาพการเรียนหรือการทำงานแย่ลง แม้แต่แม่บ้านก็ทำงานบ้านแบบไม่ถี่ถ้วนไม่ประณีตเพราะไร้สมาธิ และรู้สึกหมดพลังจากข้างใน จนถึงขั้นไม่อยากทำงาน หยุดงานหรือขาดเรียนบ่อย
นายแพทย์กฤษดา กล่าวอีกว่า ฟังแล้วอย่าเพิ่งตกใจถ้ามีอาการดังกล่าวข้างต้น เนื่องจากยังมีโรคทางกายหรือยาบางตัวที่ทำให้เกิดอาการคล้ายโรคซึมเศร้าได้ อาทิ ยากลุ่มสเตียรอยด์และฮอร์โมน , ยาลดความดันโลหิตอย่างโพรพราโนลอล หรือยารักษาโรคพาร์กินสัน นอกจากนั้นยังมีโรคเนื้องอกในสมอง , ไทรอยด์ต่ำหรือขาดวิตามินก็ทำให้เกิดอาการคล้ายโรคซึมเศร้าได้ ส่วนความจริงในแง่มุมต่างๆของ “โรคซึมเศร้า” ที่ควรรู้ยังมี ดังนี้
1.ซึมเศร้า เกิดได้จากหลายปัจจัยมา “รุม” ให้เกิด เช่น สังคม , จิตใจหรือทางชีวภาพจากสารเคมีสมองไม่ปกติ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรขอให้ทราบว่า “อย่าหมั่นไส้” หรือใส่อารมณ์กับผู้ป่วยซึมเศร้าว่าเขาแกล้งทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ
2.ซึมเศร้า มีหลายแบบ ทั้งแบบซึมเศร้าหนักนาน , ซึมเศร้าต่อเนื่องนานกว่าร่วมกับอารมณ์ผิดปกติ และโรคซึมเศร้าแบบไบโพลาร์ หรือ 2 ขั้วที่อาจแสดงออกด้วยการช็อปปิ้งมากมายจนเป็นหนี้บัตรเครดิตก็ได้
3.ซึมเศร้ารุนแรง มีความเสี่ยงเสียชีวิตโดยรวมถึง 1.4 เท่า เมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป ซึ่งต้องไม่ลืมว่าผู้มีปัญหาสุขภาพหลายโรคเสี่ยงซึมเศร้าได้ เช่น มะเร็ง , เบาหวาน , ติดเชื้อ HIV หรืออื่นๆอาจมีความเครียดจนเข้าขั้นซึมเศร้าได้
4.ในเด็กหรือวัยรุ่นก็เป็นโรคซึมเศร้าได้ อาจแสดงออกด้วยอารมณ์หงุดหงิด หรือผลการเรียนที่แย่ลง
5.ยาบำบัดอย่าให้ขาด โรคนี้รักษาได้ ในช่วงแรกอย่าเพิ่งท้อในการกินยาเพราะอาจใช้เวลาราว 1-2 สัปดาห์อาการจึงดีแบบเห็นชัด มีรายงานว่าคนไข้จะตอบสนองต่อยาแก้ซึมเศร้าตัวแรกที่ให้ แต่หากยังไม่ดีแพทย์จะทำการปรับหรือเปลี่ยนให้ แต่ไม่อยากให้หยุดหรือลดขนาดยาเอง
6.ให้ระวังเรื่องฉุกเฉินที่สุด คือ ความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือคิดสั้นอยากลาตายไม่อยากอยู่ในโลกนี้แล้ว
“สิ่งสำคัญคืออยากให้แยกให้ได้ก่อนว่าโรคซึมเศร้านี้ไม่เหมือนกับภาวะอารมณ์เศร้าแบบฟีลลิ่งทั่วไปที่หายได้ถ้าเหตุการณ์ต่างๆคลี่คลายลง แต่โรค นั้นจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษา แล้วจะพาให้คนไข้ออกมาจากโลกอันหดหู่ได้ ขอแค่ช่วยใส่ใจกันคนละไม้ละมือ ถือธรรมะแห่งเมตตาเป็นโอสถ ก็จะช่วยลดเสี่ยงแล้วยังเปลี่ยนชีวิตเพื่อนมนุษย์เราให้ดีขึ้นได้แน่นอน” นายแพทย์กฤษดา กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี