หลวงปู่ชอบ (หลวงปู่ชอบ ฐานสโม) กับพวกเรื่องเทวบุตรเทวดานี้ หากเกี่ยวข้องอยู่เสมอล่ะ ท่านพูดถึงเรื่องที่ท่านกลับมาจากพม่า เรียกว่า เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาท่านว่างั้นนะ ก็เรียกว่าสมท่านเป็นกรรมฐานกล้าหาญนั่นเอง ตอนนั้นเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง พวกทหารอังกฤษมาป้วนเปี้ยนอยู่ในเขตพม่า พอดีท่านบิณฑบาต กำลังนั่งให้พรพวกเขาอยู่ พวกทหารอังกฤษเข้ามา เขาก็เลยมาถามพวกนี้ เขาไม่ไว้ใจว่าพระนี้เป็นพระไทย
เวลานั้นเหมือนกับว่าทางโน้นเป็นข้าศึกกับไทยอยู่ พวกอังกฤษนะ ทางนี้ก็พูดรับรองยืนยัน ท่านมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกเกิด ท่านมาหลายปีแล้ว ท่านมาพักอยู่นี้นาน ท่านไม่มีอะไร เขาก็ยังไม่แน่ใจเขาดูแล้วดูเล่า พอกลับไปวันหลังเขามาอีก มาอีกเขายิ่งถามหนักเข้าๆ เห็นท่าไม่ได้การ เขาจึงมาส่งท่าน กลัวว่าพวกอื่นมาจะหนักยิ่งกว่านี้ ดีไม่ดีฆ่าท่านเสีย เลยเอาท่านไปส่งใส่ทาง
ทางนี้ก็เป็นทางไปเมืองไทย เป็นทางที่พวกขายของเถื่อน พวกฝิ่น พวกอะไร เขามีทางพอเป็นด่านๆ พอไปได้ เขาก็ไปบอกทาง ให้ท่านจับต้นทางอันนี้ไว้ให้ดี ท่านสังเกตให้ดีนะ รอยพวกสัตว์ พวกเนื้อพวกเสือ พวกช้าง มันผ่านไปผ่านมาก็ให้สังเกตให้ดี ให้จับต้นทางให้ดี ถ้าผิดจากนี้แล้วท่านจะไปไหนไม่ได้เลย ดงใหญ่มาก เดินเป็นวันเป็นคืนเลยจะว่าไง ท่านก็พยายามจับทางนั้นล่ะมา นี่ล่ะที่นี่ก็มาสำคัญตอนที่เคยเล่าให้ฟังแล้วว่า วันนั้นท่านเพลียมากจริงๆท่านบอก ข้าวก็ไม่ได้ฉัน แล้วก็เดินทั้งวันด้วย เพลียมาก ท่านเลยรำพึงในใจ ท่านเล่าให้ฟังนะที่มันถนัดชัดเจนมาก
พอมาถึงที่นั่นเพลียเป็นกำลัง ก้าวขาจะไม่ออกแล้ว "ยังไงกัน แต่ก่อนตั้งแต่เราอยู่เป็นปกติ เทวบุตรเทวดาก็มาเกี่ยวข้องกับเราอยู่เสมอ ท่านนึกในใจ แต่เวลานี้เรากำลังจะเป็นจะตาย เทวบุตรเทวดาทำไมใจดำน้ำขุ่นเอาหนักหนา พระกำลังจะตาย ก็ไม่เหลียวแลกันบ้างเลยยังไงกัน" ท่านนึกอย่างนี้
คือ ท่านอดอาหาร ท่านไม่ได้ฉันอาหาร ไปอีกดูไม่ถึง 30 นาทีนะปรากฏว่า ถ้าว่าอย่างยานก็ระยะนี้ ท่านก็เดินไปๆ ดงข้างล่างมันโล่งๆหน่อย ข้างบนมันมืดหนาไปหมดด้วยใบไม้ ข้างล่างมองเห็นโล่งๆท่านมองไปเห็นบุรุษคนหนึ่งนั่งจบอาหารอยู่ เลยมองไป อ้าว!นี่คนจะใส่บาตรน้า ก็ดงอันนี้เป็นดงทั้งดง ไม่มีผู้มีคน คนๆนี้เขามาจากไหน ถึงมาใส่บาตรเราน้า
ท่านก็เดินไป พอเดินไปถึงนั้นเขาก็บอกว่า "นิมนต์ท่านพักที่นี่ก่อน" ขอใส่บาตรท่าน "โยมมาจากไหน" ท่านถาม "มาจากโน้น ชี้นิ้วสูงๆโน่น" ไม่ได้บอกว่า มาจากบ้านนั้นบ้านนี้ มาจากโน่นชี้ไปสูงๆ เขาก็เตรียมจะใส่ ท่านก็เลยปลดเปลิ้องอะไรออก เอาบาตรออกรับเขา แล้วเขาก็บอกว่า "ไม่เป็นไรแหละ ท่านจะถึงเมืองไทยในวันนี้แหละ นิมนต์ ฉันบิณฑบาตเสียก่อนค่อยไปจะถึงเมืองไทยในวันนี้แหละ" เขาว่าอย่างนั้นนะ แล้วแต่งเนื้อแต่งตัว ก็เหมือนทางคนไทยเราแต่ง ว่างั้นนะ แต่ดูลักษณะท่าทาง อู๊ย! เป็นสง่าราศีทุกอย่าง คนๆเดียวผู้ชาย อายุจะประมาณสัก 30 นี้กะว่าประมาณนั้น
พอท่านเตรียมบาตรออกไป เขาก็มาใส่บาตร พอเข้ามานี้กลิ่นไม่ใช่กลิ่นธรรมดา กลิ่นปึ๋งขึ้นมานี้ "อ๋อ!นี่พวกเทพใส่บาตรเรา" ท่านนึกในใจ ใส่บาตรนั้นของพอดิบพอดี นี้อันหนึ่งที่สำคัญมากท่านว่าอาหารท่านบอกมีปลามีอะไรหลายอย่าง ไม่ใช่อย่างเดียว เขาใส่อย่างละพอดีๆ เขาจัดใส่บาตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ให้พรเขา ให้พรแล้ว "ทีนี้ผมจะลากลับบ้านแหละ" "บ้านโยมอยู่ไหนล่ะ" "อยู่โน่น" ชี้ไปทางโน้นอีกแหละ ชี้ขึ้นฟ้าโน่น
ทีนี้จับจ้องจะดูเขา จะเคลื่อนไหวไปไหนมาไหน พอรับบาตรแล้วเขาไหว้เสร็จเรียบร้อย ให้พรเขาแล้วเขาก็ไป มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ข้างๆนั้น พอไปนี้เขาก็ไปลับต้นไม้ใหญ่ ที่นี้ยิ่งจ้องใหญ่เลยเขาจะไปยังไง พอถึงต้นไม้ใหญ่แล้วหายเงียบ ออกทางนี้ดักดูก็ไม่เห็น ออกทางไหนดักดูก็ไม่เห็น หายเงียบเลย "โอ๊ย!เทวดาแล้วแหละ" ท่านว่าอย่างงั้น ไม่เห็นเลย หายเงียบเลย นี่ท่านพูดเอง
แล้วก็มาฉันจังหัน จังหันนี้ก็เอาอีกแหละ ถ้าจะเกินนั้นไปอีกก็ไม่ได้ อิ่มพอดีเลย ทุกสิ่งทุกอย่าง เรียกว่า หมดทุกชิ้น พอดีทุกอัน ท่านว่าอย่างงั้น "เอ๊! มันทำไมถึงพอเหมาะพอสม ไม่ใช่เทวดาจะมาใส่ได้ยังไง อย่างนี้เอาอีกแหละ ต้องเทวดาแน่ๆ" วันนั้นรู้สึกปีติยินดี ธาตุขันธ์ก็มีกำลัง เดินมาถึงเมืองไทยในวันนั้น เข้าทางเมืองกาญจน์นะ ท่านมาทางเมืองกาญจน์ นี่ท่านเล่าให้ฟัง "เทพแหละไม่ใช่ใคร" ท่านว่าอย่างงั้น
"อาหารการกินหอมหวน อาหารเอร็ดอร่อย ก็พวกปลา พวกอะไรธรรมดา แต่ทำไม หรือว่าจะเป็นเพราะเราหิวมากก็ไม่้ทราบ ถ้าว่าหิว เราก็เคยหิวนี่นะ ถ้าว่ากลิ่น มันก็แปลกๆ อะไรก็แปลกๆ ไปหมดนี่นะ" ท่านว่าอย่างงั้น นี่ท่านเล่าให้ฟังเป็นกันเอง ทุกอย่างท่านเล่าน่าฟังนะกับพวกเทพรู้สึกท่านชำนาญอยู่มา
ท่านอาจารย์ฝั้นหนึ่ง ท่านอาจารย์ชอบหนึ่ง ยกพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเราเสีย เหล่านี้ รู้สึกเด่นๆ ทั้งนั้น ท่านอาจารย์ชอบนี้องค์หนึ่งเด่นมาก เวลาท่านไปพักอยู่่ทางเชียงใหม่ก็เหมือนกัน พูดถึงเรื่องพวกเทพ พวกอะไร เขามาฟังเทศน์ฟังธรรม เขามาขับกล่อมท่านก็มีท่านว่านะ "ขับกล่อมตามประสาของเทพเขานั่นแหละ ขับกล่อมเป็นลักษณะเหมือนเพลงแต่ไม่ใช่เพลง" ท่านว่าอย่างงั้นนะ "เป็นเรื่องของเทพ" ท่านว่า
"เขาทำนั้น เขาไม่ได้มีเรื่องโลกสงสารมาเจือปน กิริยาอาการที่เขาแสดงออก เขาแสดงออกด้วยความปลื้มปิติในครูบาอาจารย์ ในธรรมทั้งหลายของเราต่างหาก ที่เขาแสดงอาการอย่างนั้นออกมา แต่ถ้าทางโลกแล้วก็เรียกว่า แสดงความรื่นเริงกันแบบมหรสพครบงันไปอย่างนั้นแหละนะ แต่นี้ไม่เป็นอย่างนั้น" ท่านเล่าให้ฟัง นี่พูดถึงเรื่องเทพนะ
คัดลอกจากหนังสือ "เทวดา" หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี