“ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพและมาตรการเก็บภาษีที่สูงขึ้น ทำให้สารพัดแบรนด์เครื่องดื่มต่างทยอยเปิดตัวสินค้าสูตรแคลอรีต่ำรับความต้องการของตลาด”..หากในเวลาเดียวกันนี้ผู้บริโภคบางส่วนกลับให้ความนิยมเครื่องดื่มที่มีการใช้ “สารทดแทนความหวานแทนน้ำตาล” ด้วยความเชื่อที่ว่าตัวเลือกนี้จะดีต่อสุขภาพไปพร้อมๆ กับได้บริโภคเครื่องดื่มแสนชื่นใจเช่นเดิม
“สารให้ความหวานแทนน้ำตาล (Sweetener) ไม่ใช่เรื่องใหม่” แต่ถูกจัดเป็นอาหารควบคุมเฉพาะตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2552 โดยสารที่ว่านี้สามารถนิยามได้กว้างๆ เป็น 2 ประเภทคือ 1.สารให้ความหวานแทนน้ำตาลชนิดที่ให้พลังงาน ได้แก่ ฟรุกโทส ซึ่งเป็นน้ำตาลจากผลไม้ มอลทิทอล ซอร์บิทอล และไซลิทอล “สารให้ความหวานกลุ่มนี้ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก”รวมถึงผู้ป่วยโรคเบาหวาน
กับ 2.สารให้ความหวานที่ไม่ให้พลังงานหรือให้พลังงานต่ำ ได้แก่ ซูคราโลส สตีเวีย ซึ่งเป็นสารสกัดจากหญ้าหวาน แอสปาแตม อะซิซัลเฟม-เค แซคคารีน หรือที่เรียกว่าขัณฑสกร “สารให้ความหวานกลุ่มนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก” มักใช้ทดแทนน้ำตาลสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถบริโภคได้
ข้อดีของสารให้ความหวานคือการกระตุ้นต่อมรับรสหวานได้ และทำให้ผู้บริโภครับรสหวานไม่แตกต่างจากการบริโภคน้ำตาลทรายตามปกติ สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหลายชนิดได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และถูกนำมาผสมในผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มหลากชนิดจำนวนมาก ทั้งนี้ส่วนหนึ่งอาจเนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคที่พยายามลดการบริโภคน้ำตาล ซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกายและสุขภาพในช่องปาก
ขณะเดียวกัน “ผู้บริโภคมักเข้าใจว่าการบริโภคสารเหล่านี้แทนน้ำตาลจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคเบาหวาน ภาวะหัวใจวาย อ้วนลงพุง” ถึงตรงนี้ “สารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลดีต่อสุขภาพในระยะยาวจริงหรือไม่” จึงเป็นคำถามที่ยังคาใจใครหลายคน ซึ่ง รศ.ทญ.อรนาฏ มาตังคสมบัติ อาจารย์ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ มีหลักฐานจากการวิจัยในสัตว์ทดลอง และการศึกษาในมนุษย์แบบสังเกตการณ์หลายการศึกษา พบว่า..
“การบริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาลอย่างต่อเนื่องในระยะยาวมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มน้ำหนักหรือดัชนีมวลกาย และการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคสมองเสื่อมได้ ถึงแม้ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างแน่ชัดว่าการบริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาลเป็นสาเหตุของการเกิดโรค
แต่ผลการศึกษาเหล่านี้แสดงว่า การบริโภคสารทดแทนน้ำตาล อาจไม่สามารถลดผลเสียต่อสุขภาพได้ ยิ่งการส่งเสริมการขายอาหารและเครื่องดื่มที่ผสมสารให้ความหวานแทนน้ำตาล เป็น อาหารเพื่อสุขภาพ นั้นทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่า การบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มเหล่านี้จะส่งผลดีต่อสุขภาพ และช่วยลดผลเสียต่อสุขภาพที่เกิดจากการบริโภคน้ำตาลได้อย่างสมบูรณ์”
ผลเสียต่อสุขภาพนี้อาจเนื่องมาจากกลไกการทำงานซึ่งพบว่าหากมีการบริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาลชนิดต่างๆ ซึ่งมีการศึกษาพบว่าสารเหล่านี้สามารถส่งผลต่อเมตาบอลิซึม และกระบวนการทางสรีระวิทยาของร่างกาย เช่น การตอบสนองต่อน้ำตาล การหลั่งอินซูลิน เป็นต้น และอาจส่งผลต่อกลุ่มจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อการควบคุมการดูดซึมอาหาร เมตาบอลิซึม และการทำงานของอวัยวะในระบบอื่นๆ
รศ.ทญ.อรนาฏ กล่าวสรุปว่า “การให้คำแนะนำกับผู้บริโภคในการเลือกบริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาลเป็นประจำในระยะยาว เพื่อการควบควบคุมน้ำหนัก และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ จึงควรคำนึงถึงความเป็นไปได้ของการเกิดผลเสียต่อสุขภาพด้วย” โดยควรสนับสนุนให้ผู้บริโภคทดแทนเครื่องดื่มผสมน้ำตาลด้วยน้ำดื่มที่ไม่ได้ปรุงรสหวานมากกว่า
มากกว่านั้น “น้ำตาลเทียมกระตุ้นการตอบสนองของอินซูลินในร่างกาย อีกทั้งการใช้น้ำตาลเทียมนั้น ยังทำหน้าที่หลอกลิ้นซึ่งเป็นอวัยวะรับรสว่าหวาน แต่สมองที่ต้องการน้ำตาลจริงไม่ได้รับน้ำตาลความหวานตามที่ต้องการ จึงอาจเกิดการกระตุ้นทำให้อยากกินน้ำตาลมากขึ้นๆ เพื่อให้หายอยากในภายหลัง และนั้นจึงเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคอ้วน” สารให้ความหวานที่เราอยากให้เป็นตัวช่วยในการดูแลสุขภาพในตอนแรก
จึงกลายเป็นตัวร้ายในตอนหลังที่ทำโรคภัยที่เราไม่คาดคิดมาก่อนแบบไม่รู้ตัว!!!
องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า ปริมาณน้ำตาลที่เติมในอาหารไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของปริมาณพลังงานทั้งหมดที่ได้รับในแต่ละวัน หรือไม่ควรเกิน 4 ช้อนชา สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงาน 1,600 กิโลแคลอรี ไม่เกิน 6 ช้อนชา สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี และไม่เกิน 8 ช้อนชา สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงาน 2,400 กิโลแคลอรี โดยได้มีการเผื่อไว้สำหรับการได้รับน้ำตาลจากอาหารอื่นโดยไม่ทราบปริมาณ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้จดจำได้ง่ายและเกิดความเข้าใจตรงกัน จึงมีการแนะนำปริมาณน้ำตาลสำหรับคนทั่วไปไว้ว่า ในแต่ละวันไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม (น้ำตาล 1 ช้อนชา จะเท่ากับประมาณ 4 กรัม) โดยให้คำนึงถึงสุขภาพและโรคประจำตัวของแต่ละบุคคลด้วย ปริมาณ 6 ช้อนชาที่ว่านี้ ไม่ได้หมายความว่าในแต่ละวันจะต้องตั้งเป้าว่ากินน้ำตาลได้ 6 ช้อนชา แต่ควรลดปริมาณน้ำตาลต่อวันให้น้อยที่สุด (ข้อมูลจากบทความ “คนแต่ละวัย กินน้ำตาลได้แค่ไหน?” โดยแผนงานวิจัยนโยบายอาหารและโภชนาการ เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ 2019 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ-สสส.)
เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี