“ทุนนิยม (Capitalism)” ด้านหนึ่งเป็นแนวคิดที่เชื่อว่าสอดคล้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์ที่สุด ด้วยมนุษย์นั้นขับเคลื่อนด้วยความต้องการ นำมาสู่การจัดหาสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการนั้นๆ ทำให้เกิดการแข่งขันและพัฒนาจนสังคมนั้นเจริญก้าวหน้าด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ แต่อีกด้านหนึ่ง ทุนนิยมก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นระบบเศรษฐกิจที่เลือดเย็นอำมหิต เพราะบีบให้คนต้องเอาชนะซึ่งกันและกันตามสำนวน “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก-อ่อนแอก็แพ้ไป” ทำให้ความสุขโดยรวมในสังคมน้อยลงแต่ความเครียดมากขึ้น
ทั้งนี้สังคมไทยก็ไม่ต่างจากสังคมทุนนิยมอื่นๆทั่วโลก ที่มีผู้ถ่ายทอดแง่มุมต่างๆ ของสังคมทุนนิยมผ่านวรรณกรรม ดังที่ ผศ.ดร.เสาวณิต จุลวงศ์ สาขาวิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำมาบอกเล่าในงานเสวนา “ทุนนิยมวิพากษ์ในวรรณกรรมไทย” ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ท่าพระจันทร์) ว่า วรรณกรรมไทยได้กล่าวถึงกระแสแห่งทุนนิยมก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชนบท เกิดการล่มสลายของวิถีชีวิตดั้งเดิม
เช่น การเข้าไปยังชนบทของนายทุนนอกพื้นที่ทั้งที่เป็นนายทุนชาวไทยจากส่วนกลางและนายทุนชาวต่างชาติส่งผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่น อาทิ วิถีเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม วิถีชุมชนที่ผู้คนมีไมตรีพึ่งพาอาศัยกัน วิถีครอบครัวที่เป็นครอบครัวใหญ่มีพ่อแม่ปู่ย่าตายาย รวมถึงการแปรวัฒนธรรมให้กลายเป็นสินค้าซึ่งลดทอนคุณค่าทางภูมิปัญญา และการสิ้นสลายของสำนักรักบ้านเกิด
“ทุนนิยมที่เข้ามาและก่อผลกระทบในลักษณะนี้มีหลายรูปแบบ เช่น ธุรกิจทางการเกษตร การท่องเที่ยว การค้าขาย อุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมบริการเข้ามาหลากหลายรูปแบบแง่มุม ตัวอย่างที่พบในนวนิยายเรื่องหมู่บ้านท่าเข็น พูดถึงอุตสาหกรรมนากุ้ง พูดถึงการลงทุนเลี้ยงกุ้งไม่ใช่เพื่อการยังชีพแต่เป็นการลงทุนหรือการจำนองกับธนาคาร ธนาคารก็เป็นองค์กรธุรกิจอย่างหนึ่ง
หรือในเรื่องโลกใบเล็กของซัลมาน ตัวละครชื่อซัลมานปกติทำประมงพื้นบ้าน ออกหาปลาตามชายฝั่ง เมื่อธุรกิจท่องเที่ยวเข้ามา มันทำให้เขาออกไปหาปลาชายฝั่งไม่ได้ ส่วนหนึ่งพอเขาออกเรือไป เอาเรือกลับเข้ามานักท่องเที่ยวจะขึ้นไปรอถ่ายรูป คือนักท่องเที่ยวจากเมืองกรุงก็ชอบภาพแบบ Exotic (แปลกไปจากวิถีที่ตนเองคุ้นเคย) ก็จะไปคอยถ่ายภาพชาวบ้านธรรมดา ชาวประมงพื้นถิ่น” อาจารย์เสาวณิต ยกตัวอย่าง
นักวิชาการผู้นี้ ยังยกอีกตัวอย่างที่ใกล้ตัวคือ“งานศพ” ที่ปัจจุบันทำได้สะดวกเนื่องจากมีธุรกิจรับจัดงาน (Organizer) ดำเนินการให้ แต่อีกด้านก็มีผู้ตั้งคำถามเช่นกัน “ความสะดวกในยุคสมัยใหม่ทำให้คุณค่าของงานนั้นๆ หายไปหรือเปล่า” ซึ่งคุณค่าของงานศพแต่เดิมผู้จัดงานที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้ใช้เวลาร่วมกันระหว่างจัดพิธี ในการนึกถึงผู้เสียชีวิตที่เป็นญาติสนิทมิตรสหายของตน แต่บริการจัดงานแบบสำเร็จรูปได้ทำให้ความรู้สึกนี้เลือนหายไป
ข้อสังเกตประการต่อมา “วรรณกรรมที่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์ทุนนิยม มักชี้ให้เห็นว่าทุนนิยมทำให้มนุษย์สูญเสียความเป็นมนุษย์ไป” เช่น สูญเสียความดีงาม เกียรติและศักดิ์ศรี ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไปจนถึงอิสระและเสรีภาพในการใช้ชีวิต “การสูญเสียนั้นเกิดจากอุดมการณ์ทุนนิยมที่มุ่งสะสมทุนและผลกำไรโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ” มนุษย์ถูกทำให้กลายเป็นเพียงฟันเฟืองตัวหนึ่งในระบบ กลุ่มคนที่ถูกเรียกว่านายทุนเป็นผู้เย็นชาไร้หัวใจ กระทำการลดทอนความเป็นมนุษย์ของ
ผู้อื่น และสุดท้ายก็ย้อนกลับมาลดทอนความเป็นมนุษย์ของนายทุนเอง
เช่น “วรรณกรรมที่เล่าถึงการเลิกจ้างคนงานจำนวนมากโดยเปรียบเทียบกับการสังหารหมู่ ตัวละครฝ่ายนายทุนมีคำพูดประมาณว่า..ถ้าเรามีหัวใจเราก็คือศพต่อไป” สะท้อนว่าแม้เสี้ยวหนึ่งคนเป็นนายทุนจะยังมีหัวใจความเป็นมนุษย์แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ หรือ “วรรณกรรมที่เล่าถึงธุรกิจการท่องเที่ยวที่พาผู้คนไปชมการสู้รบตามแนวชายแดน พร้อมกับตั้งคำถามว่าเป็นการหากินบนความทุกข์ของผู้อื่นหรือไม่” เพราะนักท่องเที่ยวก็หวังอยากเห็นการสู้รบ ได้ยินเสียงปืนเสียงระเบิด แต่นั่นเท่ากับต้องมีการสูญเสียชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นต้น
อีกประเด็นที่มักถูกพูดถึงในวรรณกรรมวิพากษ์วิจารณ์ทุนนิยมคือ “การที่นายทุนเข้าไปแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ มีการก่อมลพิษจากความไม่รับผิดชอบและการผูกขาดการใช้ทรัพยากร” อาทิ นวนิยายเรื่อง “สนิมทองคำ” เล่าเรื่องการทำเหมืองทองคำ นอกจากถ่ายทอดประเด็นมลพิษจากเหมืองทองแล้ว การให้สัมปทานกับบริษัทใหญ่ยังกีดกันชาวบ้านท้องถิ่นที่เคยมีรายได้จากการขุดและร่อนทองมาช้านานออกไปด้วย
“วรรณกรรมไทยชี้ให้เห็นถึงการหาประโยชน์ของภาคเอกชน นักการเมืองและข้าราชการทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น เช่น การทำผิดกฎหมายของฝ่ายนายทุน การเอื้อประโยชน์ต่อนายทุนโดยฝ่ายราชการ เช่น ผ่านการออกกฎหมาย ออกนโยบาย หรือการอนุญาตเป็นรายกรณีเชิงปัจเจก แล้วก็นำไปสู่การที่เอกชนเข้าสู่การเมืองเพื่อแสวงหาผลประโยชน์อันนี้โจมตีนักการเมืองโดยตรง
สิ่งที่น่าสนใจคือเวลาอ่านเรื่องแบบนี้ สิ่งที่มองเห็นแต่ไม่ได้ปรากฏ คือไม่ใช่สิ่งที่นักเขียนพูดออกมา และเขาอาจไม่ได้ตั้งใจพูดด้วย คือนักธุรกิจในระบบทุนนิยมไม่สามารถแข่งขันอย่างเป็นธรรมได้ตามระบบของมัน เพราะฉะนั้นต้องแอบกินกับทางราชการ และในที่สุดก็นำมาสู่การครองอำนาจรัฐเสียเอง ผ่านการเลือกตั้งในระดับต่างๆ ดีกว่า” อาจารย์เสาวณิต ตั้งข้อสังเกต
อีกด้านหนึ่ง ยังมีวรรณกรรมไทยที่พูดถึง “วิกฤติเศรษฐกิจและการหวนคืนสู่ชนบท” ซึ่งจะพบได้หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 “เนื้อหาวรรณกรรมกลุ่มนี้หลายเรื่อง
ชี้ว่า แม้ผู้คนที่ตกงานจากในเมืองจะกลับสู่บ้านเกิด หวังดำรงชีพด้วยวิถีเกษตรที่ตนเคยละทิ้ง แต่ชนบทก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว” เช่น กลับไปพบว่าที่ดินของตนรายล้อมไปด้วยโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงมีการทิ้งบทสรุป “เราไม่อาจหลีกเลี่ยงทุนนิยม..ทำได้แต่เพียงปรับตัวและหาประโยชน์จากมัน” พร้อมกับชี้ว่า หากนายทุนประกอบกิจการอย่างมีจริยธรรม ทุนนิยมก็จะมีประโยชน์และสร้างสรรค์
ถึงกระนั้น การที่วรรณกรรมแต่ละเรื่องเลือกนำเสนอประเด็นแตกต่างกัน เช่น บางเรื่องเน้นการนำเสนอผลกระทบจากการขยายของตัวทุนนิยม-บริโภคนิยมความสัมพันธ์ระหว่างนายทุนกับภาครัฐ แต่ให้น้ำหนักน้อยกับการต่อรองเพื่อประโยชน์ร่วมกันระหว่างทุนกับชุมชน หรือบางเรื่องเลือกก็นำเสนอหนทางปรับตัวเข้ากับทุนนิยม เช่น การกล่าวถึงธุรกิจบริการและการท่องเที่ยวที่อาจเป็นโอกาสของบุคคลหรือชุมชนในโลกทุนนิยม เป็นต้น
คือข้อควรตระหนักว่า..วรรณกรรมเป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นโดยมี “วาระ (Agenda)” ของผู้เขียน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี