คำว่า "ความเพียร" ในที่นี้คงหมายถึงความเพียรในการกระตุ้นตัวเองให้ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ความเพียรในความหมายทั่วไปซึ่งได้แก่ความขยันหมั่นเพียร การเพียรในการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องซึ่งเกิดขึ้นง่ายมากสำหรับคนที่มีความ "ตั้งใจอันแน่วแน่"
การที่คุณยังไม่ค่อยมีความเพียรมากพอ นั่นอาจเป็นไปได้ว่า คุณยังมีความตั้งใจไม่มากพอ จากประสบการณ์ของผู้เขียนซึ่งเคยทำความเพียรเพื่อขัดเกลากิเลสมาระดับหนึ่ง ขอแลกเปลี่ยนให้ทราบว่าความเพียรนั้นเป็นสัดส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกันกับความตั้งใจอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ ถ้าเรามีความตั้งใจในการที่จะบรรลุธรรมอย่างเต็มที่ ความเพียรก็จะเกิดตามมาโดยไม่ยาก
คำถามก็คือ คุณมีความตั้งใจมากแค่ไหนที่อยากจะบรรลุธรรม ประการต่อมา หากคุณบอกว่าเพียรพยายามแล้ว แต่ทำไมไม่ค่อยประสบความสำเร็จ นั่นเป็นเพราะว่าเวลาปฏิบัติธรรมคุณอาจยังไม่ได้ทดลองทำความเพียรอย่างเต็มที่ เพราะหากคุณทดลองทำอย่างเต็มที่แล้ว จะมีช่วงหนึ่งที่คุณจะลำบากแทบล้มประดาตาย
บางทีอาจต้องร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้ม อาบเสื้อผ้าอาภรณ์จนเปียกชุ่มเพราะเจ็บปวด ทรมาน แต่หากคุณไม่ยอมเลิกราและสามารถผ่านช่วงนั้นไปได้ คุณจะมีความสุขมาก
ความสุขนี้อาจมีมากจนทำให้คุณต้องร้องไห้ออกมาดังๆ และด้วยความสุขที่เกิดตามมาหลังจากผ่านความทุกข์มาได้นี้เองจะเป็นกำลังใจให้คุณไม่ระย่อต่อการปฏิบัติ จากนั้นคุณจะมุ่งมั่นบากบั่นปฏิบัติต่อไป เพราะคุณรู้ดีอยู่แล้วว่าพอความลำบากหายไปก็จะได้ความสุขเป็นกำไรตอบแทน (แม้ไม่ต้องการ แต่เป็นของแถมที่เป็นไปเองตามเหตุและปัจจัย)
ประการถัดไปหากคุณยังไม่อาจเร่งตนเองให้ระดมความเพียรได้สำเร็จ อาจเป็นเพราะว่าคุณยังไม่พบความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมอย่างที่ควรจะเป็น พอไม่พบความก้าวหน้าก็เลยไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม
ประการต่อมา อาจเป็นไปได้ว่าเพราะคุณยังไม่รู้วิธีที่จะเอาชนะกิเลสที่คอยขัดขวางการทำความเพียร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิเลสที่เรียกว่า "ความง่วงเหงาหาวนอน" กิเลสตัวนี้นักปฏิบัติธรรมตัวจริงล้วนเจอกันมาแล้วทั้งนั้น
ในสมัยที่ผู้เขียนยังเป็นพระภิกษุไม่กี่พรรษา ได้ออกตระเวนปฏิบัติไปหลายที่หลายแห่งทั้งในสำนักปฏิบัติธรรมและในป่าเขา ก็ได้พบมากับตัวเองว่าเวลาความง่วงเกิดขึ้นนั้นมันหนักหนาสาหัสจริงๆบางวันความง่วงท่วมทับดังหนึ่งก้อนเมฆใหญ่มืดทะมึนอยู่เหนือผืนฟ้ามันบดบังแสงตะวันเสียจนมองไม่เห็นอะไร ในโมงยามเช่นนั้นต่อให้ลุกเดินจงกรมอย่างไร ก็สลัดความง่วงออกจากหัวไม่ได้ ผู้เขียนเคยง่วงถึงขนาดเดินอยู่แท้ๆ จิตก็ยัง "ผลุบ" หลับทั้งๆ ที่ยืน
วิธีแก้ก็คือ ผู้เขียนพาตนเองลงไปเดินจงกรมบนถนนลูกรังที่มีแต่ก้อนลูกรังแหลมๆ เพื่อให้ลูกรังทิ่มเท้า จะได้ "ตื่น" แต่เมื่อวิธีนี้ไม่ได้ผล ผู้เขียนก็ใช้วิธีเดินจงกรมเร็วๆ แต่พอไม่ได้ผล ก็เลยลองเดินจงกรมถอยหลัง
แต่ก็ไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ สุดท้ายจึงตัดสินใจออกไปเดินจงกรมใต้ต้นมะพร้าว (ซึ่งในสำนักแห่งนั้นมีหลายร้อยต้น และมีกาบและลูกมะพร้าวหล่นทุกวัน หล่นทุกชั่วโมง) แล้วตั้งปฏิญาณกับตัวเองว่าถ้ายังไม่หายง่วงก็ให้มันตายเสีย
ระหว่างทางจงกรมใต้ต้นมะพร้าว ก็มีลูกมะพร้าวและกาบมะพร้าวหล่นเฉียดหัวอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อตั้งปฏิญาณแล้ว ผู้เขียนก็ไม่เลิก ทนเดินอยู่อย่างนั้น จนในที่สุดความง่วงก็หายเป็นปลิดทิ้ง
วันต่อมาความง่วงก็ไม่เข้ามารบกวนอีกเลย จากนั้นเป็นเวลาอีกแรมเดือน การปฏิบัติก็คืบหน้าตลอด กิเลสที่ผ่านเข้ามาขณะปฏิบัติธรรมนั้น เราอย่าไปมองว่าเขาเป็นศัตรู กิเลสทุกชนิดคือครูของนักปฏิบัติธรรม เมื่อกิเลสเกิดขึ้นขณะปฏิบัติ จงขอบใจ เพราะเรากำลังจะได้รับบทเรียนที่ยิ่งใหญ่่ของชีวิตถ้าเราไม่ยอมเสียอย่างเดียว ไม่เร็วก็ช้าต้องเห็นความก้าวหน้าของการปฏิบัติธรรม
....................
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ที่มาข้อมูลจากนิตยสาร Secret
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี