ทำไมพวกเราจึงต้องเข้าหาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เพราะว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าช่วยเราได้นั่นเอง ช่วยเราตอนเวลาที่เรามีความทุกข์ใจกัน เวลาเราที่เรามีความทุกข์ใจนี้ไม่ว่าอะไรที่เรามีอยู่นี้ช่วยดับความทุกข์ใจของพวกเราไม่ได้เลย ต่อให้เป็นมหาเศรษฐีเวลามีความทุกข์ใจ เงินทองของมหาเศรษฐีก็ดับความทุกข์ใจไม่ได้ เวลามีความทุกข์ใจต่อให้เป็นประธานาธิบดีเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็ไม่สามารถที่จะดับความทุกข์ได้ ต่อให้ได้เป็นนักกีฬาดีเด่นได้รับเหรียญรางวัลต่างๆได้รับเหรียญโอลิมปิกเหรียญทองโอลิมปิก หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้รับรางวัลโนเบล เวลาเกิดความทุกข์ใจ สิ่งที่เขามีเหล่านี้ไม่สามารถช่วยเขาได้เลย
แต่ถ้ามีธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าจะสามารถที่จะดับความทุกข์ใจต่างๆ ให้หมดสิ้นไปจากใจได้ คำสอนของพระพุทธเจ้านี้ก็มีอยู่ ๒ ระดับด้วยกัน ระดับที่อยู่ภายนอกและระดับที่อยู่ภายใน ภายในก็คือภายในใจของผู้ปฏิบัติ ตอนต้นนี้เราจะยังไม่มีธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ เวลาเราเกิดความทุกข์เรายังไม่สามารถที่จะดับความทุกข์ได้ เพราะว่าเรายังไม่มีธรรมะอยู่ภายในใจ แต่ถ้าเราสามารถเอาธรรมะที่อยู่ข้างนอกใจนี้เข้ามาสู่ภายในใจได้ เวลาเราเกิดความทุกข์ขึ้นมา ใจก็จะสามารถใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้าดับความทุกข์ได้ทันที
เปรียบเหมือนกับยารักษาโรคภัยไข้เจ็บของร่างกาย เวลาร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยถ้ามียาแต่เราไม่ได้รับประทานยา โรคภัยไข้เจ็บก็จะไม่หาย ถ้าอยากจะให้โรคภัยไข้เจ็บหายไป เราต้องรับประทานยา พอรับประทานยาเข้าไปปั๊บเดียว โรคภัยไข้เจ็บก็จะลดความรุนแรงลงไปตามลำดับและหายไปได้ในที่สุด ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้จึงเรียกว่า “ธรรมโอสถ” “โอสถ” ก็แปลว่ายา “ธรรมโอสถ” ยาของธรรมะ ยาของธรรมะนี้รักษาโรคใจ ไม่ได้รักษาโรคกาย อย่างเป็นลมพิษนี้มีธรรมะก็ไม่สามารถทำให้ลมพิษมันหายได้ เพราะว่าลมพิษมันเป็นโรคของร่างกาย พระพุทธเจ้าก็เจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องกินยา ถ้าร่างกายไม่สบายพระพุทธเจ้าก็มีหมอ หมอชีวกคอยหายามาถวาย ร่างกายของพระพุทธเจ้านี้ไม่สามารถรักษาได้ด้วยธรรมมะของพระพุทธเจ้าเอง
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมะอันประเสริฐ แต่ไม่สามารถใช้ธรรมะอันประเสริฐนี้มารักษาโรคทางร่างกายได้ ธรรมะนี้เป็นยารักษาโรคทางใจ โรคของใจก็คือความทุกข์ใจนั่นเอง ความทุกข์ใจก็มีหลายรูปแบบด้วยกัน ความทุกข์ใจที่เกิดจากการต้องพบกับสิ่งที่ไม่ปรารถนา ความทุกข์ใจที่เกิดจากการสูญเสียสิ่งที่รักไป หรือความทุกข์ใจที่เกิดจากความไม่พอใจต่างๆ ความทุกข์ใจที่เกิดจากความผิดหวัง มีความทุกข์ใจหลายแบบ ความทุกข์ใจเพราะความกลัวกับเหตุการณ์ต่างๆ กลัวภัยธรรมชาติ กลัวภัยทางโรคภัยไข้เจ็บ นี่คือความทุกข์ต่างๆที่เป็นโรคของใจที่สามารถรักษาให้หมดไปได้ด้วยธรรมะของพระพุทธเจ้า
ธรรมะนี้แปลว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า การที่เราจะเอาคำสอนของพระพุทธเจ้านี้เข้ามารักษาใจรักษาความทุกข์ของใจให้หมดไป เราต้องเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าที่อยู่ข้างนอกใจให้เข้าไปข้างในใจ ตอนแรกนี้เราจะได้มาพบกับคำสอนของพระพุทธเจ้า เช่นเวลาเราฟังเทศน์ฟังธรรมกันขณะนี้ เรากำลังฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่การได้ยินได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้ยินวิธีดับความทุกข์ใจของพระพุทธเจ้านี้ ยังเป็นยาภายนอกอยู่ ยังเป็นธรรมะภายนอก ยังไม่เข้ามาสู่ในใจ
เช่น สมมุติตอนนี้เรามีความทุกข์ใจไม่สบายใจ เรามาฟังธรรม การฟังธรรมเฉยๆ ยังไม่สามารถที่จะทำให้ความไม่สบายใจต่างๆหายไปได้ เพราะว่าการฟังธรรมนี้ยังเป็นการได้พบกับยาแต่ยังไม่ได้รับประทานยา เช่น เวลาเราไม่สบายทางร่างกาย เราไปหายามารักษา เราได้ยาจากหมอมา แต่ถ้าเรายังไม่ได้รับประทานยา ยาก็ยังไม่สามารถทำหน้าที่รักษาโรคภัยไข้เจ็บของร่างกายได้ ฉันใดเวลาที่เรามีความไม่สบายใจมีความทุกข์ใจ แล้วเราไปอ่านหนังสือธรรมะหรือไปฟังเทศน์ฟังธรรม แต่การที่เราได้ฟังธรรมได้อ่านหนังสือธรรมะ มันก็ยังไม่ทำให้ใจเราหายทุกข์ได้ ก็เพราะว่าเรายังไม่ได้เอาธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้ามาสู่ภายในใจของพวกเรานั่นเอง
การที่เราจะนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้ามาสู่ภายในใจของพวกเราได้ เราต้องเอาเข้ามาด้วยการปฏิบัติ คำสอนของพระพุทธเจ้านี้สอนให้เราปฏิบัติ ให้เราทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ เหมือนยาที่เราได้รับมาจากหมอ หมอบอกให้รับประทานอย่างนั้นรับประทานอย่างนี้ ถ้าเราไม่ทำตามที่หมอสั่ง รับยามาแล้วก็วางไว้เฉยๆ คิดว่าเรามียาแล้ว แล้วโรคจะหาย โรคไม่หาย โรคจะหายก็ต่อเมื่อเราเอายาเข้ามาในร่างกาย ทำตามที่หมอสั่ง หมอสั่งให้กินยาวันละ ๒ ครั้ง ๓ ครั้งก่อนหรือหลังอาหาร เราก็ต้องทำตามที่หมอสั่ง พอเราทำตามแล้วเราก็จะได้เอายาเข้ามาสู่ร่างกายได้
พอยาเข้าสู่ร่างกายแล้ว ทีนี้เราก็สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่มีอยู่ในร่างกายให้หายไปได้ ความไม่สบายใจโรคภัยของใจก็เหมือนกัน เราต้องเอาธรรมโอสถยาของพระพุทธเจ้านี้เข้ามาสู่ภายในใจของพวกเรา การที่จะเอาเข้ามาสู่ภายในใจนี้ เราต้องปฏิบัติตามคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเราปฏิบัติก็เท่ากับเราได้เริ่มรับประทานยาแล้ว แล้วพอเราปฏิบัติไปเรื่อยๆเดี๋ยวความไม่สบายใจต่างๆ ก็จะหายไปตามลำดับ หายไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เราไม่หยุดกินยา เราต้องกินยาไปเรื่อยๆ จนกว่าโรคภัยไข้เจ็บจะหายอย่างราบคาบเราถึงหยุดกินยาได้
การปฏิบัติตามคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เราต้องปฏิบัติไปเรื่อยๆ ปฏิบัติไปจนกว่าความทุกข์ของใจนี้จะหมดสิ้นไป เมื่อหมดสิ้นไปแล้วเราก็ไม่ต้องปฏิบัติต่อไป
................
จากเพจ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี