ย้อนไปในปี 2552 “โครงการพื้นที่ต้นแบบบูรณาการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่จังหวัดน่าน” เริ่มต้นขึ้นโดยการสนับสนุนของ มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ด้วยการคัดเลือก 20 หมู่บ้านใน 3 อำเภอ ประกอบด้วย 3 หมู่บ้านในลุ่มน้ำยาว ต.ยอด อ.สองแคว, 3 หมู่บ้านในลุ่มน้ำสบสาย ต.ตาลชุมต.ศรีภูมิ อ.ท่าวังผา และ 14 หมู่บ้านในพื้นที่ต้นน้ำน่าน ต.ขุนน่าน อ.เฉลิมพระเกียรติ รวมพื้นที่ทั้งหมด 2.5 แสนไร่พื้นที่ทางการเกษตร 72,409 ไร่ ประชากร 8,190 คน 1,945 ครัวเรือน
สืบเนื่องจาก ณ เวลานั้น จ.น่าน ซึ่งมีความสำคัญในฐานะ “พื้นที่ป่าต้นน้ำ” ที่ต่อเนื่องไปยังแม่น้ำสายหลักของระบบน้ำในประเทศไทย เผชิญปัญหาทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ส่งผลต่อความเป็นอยู่ อาชีพ ฐานะการเงิน และสุขภาพของคนในท้องถิ่น กล่าวคือ “การบริโภคส่วนใหญ่ในจังหวัดเป็นการใช้จ่ายซื้อสินค้าปัจจัยในการดำเนินชีวิตจากภายนอก” คิดเป็นเงินประมาณ 1.3 ล้านบาทต่อปี
สิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจของจังหวัด “รายจ่ายที่สูงกว่ารายรับของประชากร ทำให้เกิดปัญหาหนี้สินพอกพูน” เฉลี่ยประมาณ 127,524 บาทต่อครัวเรือน
กลายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีภาวะความยากจนสูง มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรต่ำเป็นลำดับที่ 3 ของประเทศ สัดส่วนคนจนสูงถึงร้อยละ 20 ของประชากรในจังหวัด และเป็นลำดับที่ 2 ของภาคเหนือ
ธนากร รัตชานนท์ ผู้จัดการพื้นที่ จ.น่าน เล่าว่า ปัญหาชักหน้าไม่ถึงหลังของประชาชน นำมาซึ่งการบุกรุกแผ้วถางทำลายป่าจนเกิดภาพ “เขาหัวโล้น” ปรากฏเป็นข่าว รวมถึงการใช้วิธี “เผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก” เพราะลงทุนน้อย ยังทำให้เกิด “ฝุ่นควันพิษ” ปกคลุมไปทั่ว อีกทั้งใช้ “สารเคมี” อย่างเข้มข้น จนผลตรวจเลือดของเกษตรกรที่นี่พบปริมาณสารพิษสูงในระดับน่าเป็นห่วง แต่อีกด้านหนึ่ง “ชุมชนและภาคประชาสังคมเข้มแข็ง” คือจุดเด่นของ จ.น่าน มีความร่วมมือกันจาก 44 องค์กร จนรวบรวมข้อมูลได้อย่างเป็นระบบเพียงพอที่จะนำมาแก้ปัญหาได้
ซึ่งการเปลี่ยนมาทำ “เกษตรทฤษฎีใหม่” ตามแนวพระราชดำริของ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทำให้ เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน 91,681 บาท ในปี 2562 จากเดิมที่มีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน 58,061 บาทในปี 2558 เพิ่มขึ้น 1.5 เท่า โดยปัจจุบันมีครัวเรือนร้อยละ 89 จากทั้งหมดที่หันมายึดแนวทางนี้ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม
“ผลการพัฒนาตามลำดับขั้นการพัฒนาตามแนวพระราชดำริเกษตรทฤษฎีใหม่แต่ละพื้นที่ อ.เฉลิมพระเกียรติก้าวสู่ขั้นชุมชนพึ่งพาตนเอง อ.ท่าวังผา เข้าสู่ขั้นชุมชนเชื่อมโยงสู่ภายนอก ส่วน อ.สองแคว อยู่ในขั้นชุมชนเชื่อมโยงออกสู่ภายนอกแล้ว และอยู่ระหว่างการพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน ซึ่งการแก้ไขปัญหาหลักของพื้นที่สามารถทำให้ครัวเรือนพึ่งพาตนเองได้” ธนากร กล่าว
เรื่องเล่าจากเกษตรกรในพื้นที่ ดวง คำจิตร เกษตรกรบ้านน้ำป้าก กล่าวว่า ทำกินบนในจุดที่เรียกว่า“เนินจุดประกาย” ตั้งอยู่บนพื้นที่ป่าต้นน้ำของลุ่มน้ำสบสาย ลุ่มน้ำสายสำคัญของแม่น้ำน่าน สามารถเห็นสภาพภูมิประเทศโดยรอบ ที่ในอดีตเคยใช้ปลูกพืชไร่ เช่น ข้าวโพด ข้าวไร่ มีการแผ้วถางจนกลายเป็นเขาหัวโล้น กระทั่งในปี 2552 เมื่อเข้าร่วมโครงการ นำมาสู่การเลิกปลูกพืชเชิงเดี่ยว แต่หันมา “ปลูกป่า 3 อย่างเพื่อประโยชน์ 4 อย่าง” แทน พร้อมแบ่งพื้นที่สำหรับดำเนินการตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่
อาทิ แบ่งพื้นที่ที่มีจำนวน 24 ไร่ ให้ส่วนหนึ่งเป็นบ่อน้ำเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในการเกษตร ปลูกพืชหลากชนิด เช่น ไผ่ กล้วย หวาย ไม้ผสมผสาน มะม่วงหิมพานต์ มะนาว ส้ม ฯลฯ จากเดิมปลูกแค่ข้าวพันธุ์ซิวแม่จันไว้สำหรับบริโภค เริ่มหันมาปลูกข้าวพันธุ์ข้าวก่ำลืมผัว ทำให้ปัจจุบันมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และหลังฤดูเก็บเกี่ยวยังมีการปลูกพืชผักสวนครัวไว้บริโภคในครัวเรือน
“ปีนี้ 2562 ได้ข้าวซิวแม่จัน จำนวน 16 กระสอบ และข้าวพันธุ์ลืมผัวอีก 22 กระสอบ ส่วนหนึ่งเก็บไว้บริโภคในครัวเรือน อีกส่วนนำไปขายเพื่อเป็นรายได้เสริม อย่างข้าวพันธุ์ลืมผัว ขายในราคากิโลกรัมละ 20-25 บาท ส่วนพืชผักสวนครัว มะม่วงหิมพานต์ มะนาว ส้ม ที่ปลูกไว้ก็ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และช่วยลดรายจ่ายในครัวเรือนได้ด้วย” เกษตรกรรายนี้ ระบุ
เช่นเดียวกับ ฤทธิ์ กันนิกา เจ้าของไร่กันนิกา เล่าว่า เคยทำเกษตรเชิงเดี่ยว ปลูกข้าวโพดและข้าวไร่บนพื้นที่ 15 ไร่ ปรากฏว่ามีรายได้หลังหักค่าปุ๋ยและสารเคมีแล้วเหลือเพียง 80,000 บาท/ปี ซึ่งไม่เพียงพอต่อการจุนเจือครอบครัว ต้องกู้เงินจาก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วนเวียนอยู่อย่างนั้นปีแล้วปีเล่า หนี้สินพอกพูนถึง 60,000 บาท อีกทั้งยัง “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด” ในปี 2551 เมื่อเกิดอุทกภัยรุนแรงที่หมู่บ้านน้ำป้ากและหมู่บ้านข้างเคียง ทำให้พื้นที่เกษตรและบ้านเรือนเสียหาย เวลานั้นถึงขั้นแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
กระทั่งในปี 2552 จึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ โดยแบ่งพื้นที่ที่ทำอยู่เดิม ออกเป็นที่อยู่อาศัย 1 ไร่ ทำนา5 ไร่ พื้นที่สวน 5 ไร่ เพื่อปลูกพืชผักสวนครัว ไม้ผลและพืชเศรษฐกิจ มีบ่อน้ำ 8 บ่อ สำหรับเลี้ยงปลานิลปลาตะเพียน ปลาดุก ส่วนเนื้อที่อีกประมาณ 4 ไร่ เลี้ยงไก่พื้นเมืองและเป็ด เพื่อเป็นแหล่งอาหารและสร้างรายได้เสริม ทำให้ชีวิตค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยสามารถปลดหนี้ 60,000 บาทจนหมด และมีเงินออมสำหรับลงทุนในอนาคตกว่า 120,000 บาท
“โครงการปิดทองหลังพระฯ สนับสนุนบ่อพวงสันเขา ฝายอนุรักษ์ ในพื้นที่ ทำให้ที่นี่มีน้ำใช้ตลอด จะปลูกอะไรก็ปลูกได้ สามารถปลูกพืชหลากหลาย ปลูกข้าวนา สำหรับบริโภค ปลูกข้าวโพดหลังนา ปลูกไม้ผลผสมผสาน เลี้ยงปลา เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ ปลูกพืชผักหลากหลาย เหลือกินก็ขาย มีรายได้ตลอดปีสามารถปลดหนี้สินได้ ชีวิตดีขึ้น ทุกวันนี้จึงดำรงชีวิตอยู่อย่างพอเพียง” ฤทธิ์ กล่าวในท้ายที่สุด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี