สำหรับประเทศไทย แม้ด้านหนึ่งมอเตอร์ไซค์จะเป็นพาหนะยอดนิยมของคนไทย เห็นได้จากข้อมูลของ กรมการขนส่งทางบก พบว่า มีมอเตอร์ไซค์จดทะเบียนใหม่ทั่วประเทศตลอดปี 2562 จำนวน 1,876,710 คันและมีมอเตอร์ไซค์จดทะเบียนสะสมทั่วประเทศนับตั้งแต่เริ่มเก็บสถิติเป็นต้นมาจนถึง ณ สิ้นปี 2562 จำนวน 21,222,053 คัน แต่อีกด้านหนึ่งคนไทยก็ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนจากมอเตอร์ไซค์จำนวนมากเช่นกัน
ที่งานแถลงข่าว “วันเด็กปีนี้ขอของขวัญจากรัฐบาลลดการเจ็บตายบนท้องถนน” ณ ศูนย์การประชุม The Hall Bangkok ซ.วิภาวดี 64 ย่านหลักสี่ กรุงเทพฯ เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.)กล่าวว่า หากดูรายงานในภาพรวมจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) แม้จะพบว่าในปี 2561 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนอยู่ในอันดับ 9 ของโลก ลดลงจากปี 2558 ซึ่งอยู่ในอันดับ 2 ของโลก
แต่เมื่อเจาะไปที่รายกลุ่ม พบว่า “ประเทศไทยยังคงมีผู้เสียชีวิตจากมอเตอร์ไซค์สูงเป็นอันดับ 1 ของโลก”เสมอมาไม่ว่าจะสำรวจในครั้งใดก็ตาม โดยล่าสุดอยู่ที่ 24.3 คนต่อประชากร 1 แสนคน และคิดเป็นร้อยละ 74 ของอุบัติเหตุบนท้องถนนทั้งหมดของประเทศ อนึ่ง “เด็ก เยาวชนและคนหนุ่ม-สาวรุ่นใหม่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง” เห็นได้จากผู้ประสบอุบัติเหตุส่วนใหญ่มักอยู่ในช่วงอายุ 15-19 ปี รองลงมาคือ 20-24 ปี และอันดับ 3 คือ 10-14 ปี
นพ.ธนะพงศ์ กล่าวต่อไปว่า ในทางการแพทย์ “สมองที่ทำหน้าที่ตัดสินใจด้วยเหตุผล (Cognitive Control) ของมนุษย์จะเติบโตอย่างช้าๆ และสมบูรณ์ในช่วงอายุ 23 ปี ในขณะที่สมองส่วนการตัดสินใจท้าทายความเสี่ยง (Risk Taking) และการตัดสินใจตามกระแสสังคม (Social Emotional) จะเติบโตเร็วกว่าและสมบูรณ์ตั้งแต่อายุ 15 ปี” พฤติกรรมของเด็กและวัยรุ่นจึงแสดงออกในเชิงอยากรู้อยากลอง อีกทั้งต้องการการยอมรับจากเพื่อนฝูงอย่างมาก
“เขารู้สึกเลยว่ามันเป็นเรื่องท้าทาย การออกมาขี่มอเตอร์ไซค์ บวกกับความรู้สึกว่าฉันเข้าสังคม ถ้ามีเพื่อนแล้วเพื่อนขี่เร็ว หรือกลุ่มเพื่อนมองว่าการใส่หมวกกันน็อกคือป๊อด (ขี้ขลาด) มันจะมีอิทธิพลทันทีกับเขา ต่อให้เขามีความรู้ว่าหมวกสำคัญ แต่พอไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนเขาก็ไม่อยากเป็นแกะดำ ไม่อยากแปลกแยก ทั้งหมดจึงเป็นคำอธิบายว่าถ้าเรายังปล่อยให้เด็กอายุน้อยกว่า 15 ปีเข้าใกล้มอเตอร์ไซค์ เขาเสี่ยงด้วยตัวเขาเอง เพราะธรรมชาติของเขา สมองส่วนคิดส่วนตัดสินใจมันยังไม่สมบูรณ์พอ” นพ.ธนะพงศ์ กล่าว
แน่นอนว่า “การลดการใช้รถส่วนตัวคือทางออกที่ดีที่สุด..แต่สำหรับประเทศไทยนั่นคือทางออกเชิงอุดมคติ” ด้วยเหตุว่าระบบขนส่งมวลชนไม่ทั่วถึงบ้าง ไม่เพียงพอบ้าง หรือมีราคาแพงเมื่อเทียบกับรายได้บ้าง คนไทยจึงต้องกัดฟันถอยยานพาหนะส่วนบุคคลมาใช้ เรื่องนี้ไม่เว้นแม้แต่เด็กและเยาวชนที่ต้องไปเรียนหนังสือ นพ.ธนะพงศ์ยกตัวอย่างกรณีหนึ่งเมื่อ 16 พ.ค. 2561 วัยรุ่นชายวัย 17 ปีที่มีน้องชายอายุ 15 ปี ประสบอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ชนกับรถเก๋ง ทำให้ทั้งคู่เสียชีวิต ขณะเดินทางจาก รร.ประจักษ์ศิลปาคม อ.ประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี เพื่อกลับบ้าน
เบื้องหลังของครอบครัวนี้..เดิมผู้ปกครองจ่ายค่ารถรับ-ส่งนักเรียนคนละ 250 บาทต่อเดือน แต่ต่อมาเมื่อต้องจ่ายเพิ่มเป็นคนละ 500 บาทต่อเดือน และไม่มีหน่วยงานใดอุดหนุน ทำให้ตัดสินใจให้ลูกชายขี่มอเตอร์ไซค์ไปเองเพราะมองว่าถูกกว่า จนกลายเป็นเหตุสลดดังกล่าว “หากมีระบบขนส่งมวลชนและรถรับ-ส่งนักเรียนที่ปลอดภัย สะดวกในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ ใครจะอยากมาเสี่ยงขับรถ-ขี่มอเตอร์ไซค์เองบนถนน” แต่ในความเป็นจริงพบว่าเป็นเรื่อง “ไม่ง่าย” ที่สังคมไทยจะมีโอกาสเดินไปถึงจุดนั้น
ดังนั้น “ทางออกที่เป็นไปได้ในชีวิตจริง” จึงอาจอยู่ที่ 1.สร้างความตระหนักรู้ เช่น จุดบอดที่คนขับรถขนาดใหญ่มองไม่เห็นรถเล็กกว่าที่อยู่ใกล้มากๆ การขี่หรือกลับรถบนถนนใหญ่ที่รถยนต์แล่นด้วยความเร็วสูง เหล่านี้ล้วนมีความเสี่ยง พร้อมไปกับฝึกอบรมทักษะที่จำเป็น เช่น การเบรก 2.รัฐมีมาตรการเอื้อให้เข้าถึงมอเตอร์ไซค์ที่มีความเสี่ยงไม่มาก เช่น มอเตอร์ไซค์ที่มีขนาดความจุกระบอกสูบ (CC) ต่ำ มีระบบเบรก ABS เพราะหากเบรกกะทันหัน ABS จะช่วยให้ล้อไม่ล็อก ไม่ปัด และได้ระยะเบรกที่สั้นลง รวมถึงวงล้อเล็กเพื่อไม่ให้นำไปแต่งซิ่ง เป็นต้น
สอดคล้องกับ นายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย ที่เปิดเผยผลสำรวจหัวข้อเดียวกับงานแถลงข่าวครั้งนี้ ซึ่งสำรวจโดย ศูนย์สำรวจความคิดเห็นของเด็กและเยาวชนแห่งสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (Youth Poll) จากเด็กและเยาวชนกลุ่มตัวอย่างในกรุงเทพฯ จำนวน 420 คน แบ่งเป็นอายุ10-15 ปี 12 คน 16-20 ปี 382 คน และ 21-25 ปี 26 คน เป็นชาย159 คน หญิง 241 คน และเพศทางเลือก (LGBT) 20 คน
พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 47.4 ระบุว่า อยากได้รถโดยสารสาธารณะที่ปลอดภัยและประหยัดเป็นของขวัญวันเด็กแห่งชาติประจำปี2563 รองลงมา ร้อยละ 26.4 อยากได้มอเตอร์ไซค์ ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มากถึงร้อยละ86.9 เห็นว่า ระบบเบรก ABS เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นกับมอเตอร์ไซค์ และร้อยละ 90.7 เห็นว่า มอเตอร์ไซค์ทุกคันควรติดตั้งระบบเบรก ABS มาจากโรงงานโดยไม่ต้องเพิ่มราคาให้สูงขึ้น
“เคยไปสำรวจตามร้านขายมอเตอร์ไซค์ รถตระกูลที่วัยรุ่นชอบขี่ ถ้าคุณอยากได้ระบบเบรก ABS คุณต้องเพิ่มเงิน 5,000-10,000 บาท รถรุ่นเดียวกัน ออปชั่นเหมือนกัน ต่างกันแค่มีหรือไม่มี ABS แต่ต้องเพิ่มเงิน 5,000-10,000 บาทร้อยละ 90.7 บอกว่าช่วยติดตั้งเป็นอุปกรณ์พื้นฐานได้ไหม ไม่ใช่อุปกรณ์เสริม แล้วรัฐบาลไปช่วยลดเพดานภาษี รถคันไหนมี ABS ลดภาษีให้ราคามันเท่าเดิมไม่ต้องไปจ่ายเพิ่ม ถ้ามันราคาเท่าเดิมคนซื้อแน่นอน” เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย ระบุ
“ABS (Anti-lock Brake System)” หรือเรียกในภาษาไทยว่า “ระบบป้องกันการเบรกจนล้อล็อกตาย” เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้รถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ไม่เสียการทรงตัวในกรณีผู้ขับขี่เบรกกะทันหัน จึงช่วยลดความเสี่ยงหรือความรุนแรงกรณีเกิดอุบัติเหตุ ดังข้อมูลจาก สถาบันประกับภัยเพื่อความปลอดภัยของทางหลวง (Insurance
Institute for Highway Safety) สหรัฐอเมริกา ระบุว่า หากเปรียบเทียบระหว่างมอเตอร์ไซค์รุ่นเดียวกันผู้ที่ขี่มอเตอร์ไซค์คันที่ติดตั้งเบรก ABS จะลดโอกาสการเสียชีวิตได้ร้อยละ 31
แม้จะดูไม่มากนัก..แต่หากมันช่วยทำให้ความสูญเสียน้อยลงบ้างภาครัฐก็น่าจะสนับสนุน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี