*คำเตือน อนาคตของคอร์รัปชัน อาจจะบั่นทอนการต่อสู้ แต่อย่าเพิ่งหมดหวัง
ช่วงที่ผ่านมา Transparency International หรือ องค์กรความโปร่งใสนานาชาติ ได้ร่วมกับ Firetail ซึ่งเป็นทีมหลักในการทำอนาคตศึกษาของคอร์รัปชันให้กับTransparency International เพื่อทำการคาดการณ์ความท้าทายและโอกาสของการต่อสู้คอร์รัปชันในอีก 10 ปี ข้างหน้า โดยทำ Collective
Intelligence หรือ การรวบรวมความเห็นของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญนักต่อสู้คอร์รัปชันที่มีบทบาทสำคัญทั่วโลก ทั้งองค์กรภาคประชาสังคม หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และนักวิชาการ
แอน เวรด (Anne Wrede) หนึ่งในทีม Firetail ได้เล่าถึงผลการศึกษาขั้นต้นในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาของอนาคตศึกษาของคอร์รัปชันไว้อย่างน่าสนใจ การกวาดสัญญาณย้อนกลับไปในอดีตเพื่อทำความเข้าใจปัจจัยขับเคลื่อน (drivers) ซึ่งจะเป็นสาเหตุของการเกิดคอร์รัปชันในอนาคต เป็นหนึ่งในประเด็นที่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญให้ความสำคัญ ถ้าหากเราเข้าใจปัจจัยขับเคลื่อนก็จะทำให้ต่อสู้กับคอร์รัปชันได้ตรงจุดมากขึ้น กลุ่มผู้เชี่ยวชาญมองว่าคอร์รัปชันในอนาคตจะขับเคลื่อนจาก 4 ความท้าทาย ดังนี้
เสรีภาพและประชาธิปไตยที่ถดถอยมากขึ้น
หนึ่งร้อยปีที่ผ่านเป็นช่วงที่เสรีภาพถูกลิดรอนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของสื่อและประชาชน จากการสำรวจเสรีภาพของ Freedom House ทั่วโลก
พบว่า มีเพียง 44% ของประเทศทั่วโลก ที่รัฐให้และคุ้มครองเสรีภาพของประชาชนอย่างเต็มที่ ส่วนประเทศที่เหลืออีก 56% การคุ้มครองเสรีภาพก็ยังไม่ดีขึ้น ทั้งที่การคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกเป็นหัวใจสำคัญต่อการต่อสู้คอร์รัปชัน ถ้าหากรัฐไม่คุ้มครองประชาชนก็จะกลัวในการแจ้งเบาะแสการโกง
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญมองว่ากระแสนี้จะยังคงมีต่อไปในอีก 10 ปี ข้างหน้า
และจะส่งผลกระทบต่อพลังการต่อสู้คอร์รัปชันภาคประชาชนโดยตรง
ความเหลื่อมล้ำและนโยบายประชานิยมที่เพิ่มมากขึ้น
ในปี 2017 คนรวย 1% ได้ยึดครองความมั่งคั่งของโลก 50% ซึ่งคาดการณ์ว่าคนรวย 1% นี้ จะยึดครองความมั่งคั่งมากถึง 64% ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้นจะทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดคอร์รัปชันมากขึ้นตาม ความมั่งคั่งที่มากเกินสามารถบิดเบือนกลไกรัฐได้ง่ายและแนบเนียน คนรวยเข้าถึงอำนาจได้ง่ายกว่าคนจน ผลการสำรวจของ Edelman’s Trust พบว่า ในสภาวะที่โลกเหลื่อมล้ำมากขึ้น คนเชื่อมั่นรัฐบาลน้อยลง ประชาชนไม่ถึง 50% เชื่อมั่นรัฐบาลของตัวเอง
ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ หนึ่งในวิธีการลดความเหลื่อมล้ำที่ผู้นำทางการเมืองนิยมใช้ คือ นโยบายประชานิยม ซึ่งก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียต่างกันไป แต่การศึกษาของ Transparency International พบว่า การทำนโยบายประชานิยมก็เกิดการโกงที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
อำนาจในระดับโลกที่แตกกระจายยังดำรงต่อไป
ช่วงที่ผ่านมาผู้คนเผชิญกับความขัดแย้งและความรุนแรงในหลายประเทศทั่วโลก รัฐที่เกิดความขัดแย้งและความรุนแรงจะเกิดสภาวะที่ระบบการตรวจสอบถ่วงไม่ทำงานมากนัก เพราะฉะนั้นการจะสร้างกลไกการต่อสู้คอร์รัปชันในประเทศที่มีความขัดแย้งไม่ใช่เรื่องง่าย รวมไปถึงมหาอำนาจของโลกอยู่ในสภาวะสุญญากาศ ซึ่งยังไม่รู้ว่าใครจะเล่นบทบาทนำในการผลักดันการต่อต้านคอร์รัปชันในระดับโลก สหรัฐอเมริกาที่เคยผลักดันเรื่องนี้ผ่านองค์การระหว่างประเทศก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆ สหภาพยุโรปก็เผชิญกับการแยกตัวออกจากอียูของสหราชอาณาจักร กลุ่มผู้เชี่ยวชาญมองว่าบรรยากาศโลกแบบนี้จะยังคงอยู่ต่อไปในอีกสิบปีข้างหน้า
ความท้าทายทางเทคโนโลยีที่มากขึ้น
หลายคนอาจจะมองว่า เทคโนโลยีจะเป็นที่พึ่งการต่อสู้คอร์รัปชัน หากเปรียบเทียบเป็นกระสุนเงิน ยิงเพียงนัดเดียวก็สามารถสู้คอร์รัปชันให้ชนะได้ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทเทคโนโลยีมีบทบาทสูงมากในชีวิตประจำวัน บริษัทที่ใหญ่ในระดับโลก 7 ใน 10 อันดับแรกล้วนเป็นบริษัทเทคโนโลยีทั้งสิ้น
ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีก็เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างเทคโนโลยีง่ายๆ เพื่อการต่อสู้กับคอร์รัปชัน ในทางตรงกันข้าม การพัฒนา
สกุลเงินคริปโตหรือปัญญาประดิษฐ์ยังมีข้อถกเถียงถึงการทำให้เกิดพฤติกรรมที่คอร์รัปชัน การแอบใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลุ่มผู้เชี่ยวชาญมองว่าเทคโนโลยีเป็น Wild Card หรือ สิ่งที่ไม่คาดฝัน กล่าวคือ โอกาสที่เทคโนโลยีจะสู้กับคอร์รัปชันมีน้อย แต่ถ้าเกิดขึ้นจริงเทคโนโลยีจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้เชี่ยวชาญยังคงมองว่าในอนาคตยังมีโอกาสในการต่อสู้กับคอร์รัปชันอยู่ แอน เวรด ได้สรุปว่าทำไมต้องมองการสู้โกงในแง่ดีด้วย 4 สาเหตุ ดังนี้
การทุจริตคอร์รัปชันเป็นวาระในระดับโลกแล้ว
คอร์รัปชันเป็นทั้งประเด็นปัญหาและวาระที่องค์การระหว่างประเทศและแทบทุกประเทศให้ความสำคัญ ที่ผ่านมาผู้คนจำนวนมากเข้าร่วมการต่อสู้กับคอร์รัปชันมากขึ้น มีการรณรงค์ มีโครงการต่างๆเยอะแยะมากมาย ผู้คนตระหนักถึงผลกระทบของคอร์รัปชันมากขึ้น แต่ชัยชนะของการต่อสู้ก็มิได้เกิดขึ้นทุกที่ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญมองว่าชัยชนะที่เป็นไปได้ในอนาคต คือ การจับต่อสู้ร่วมกับนักการเมืองที่มีนโยบายต่อต้านการทุจริต ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลก็ตาม เนื่องจากการทำนโยบายประชานิยมในอนาคตจะมีความ
ซับซ้อนและเทคนิคเยอะขึ้น
คนหนุ่มสาวทั่วโลกต้องการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น
ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเด็กมัธยมและนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเคลื่อนไหวในประเด็นต่างๆมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการประท้วงผู้ใหญ่ให้เอาจริงเอาจริงกับการแก้ปัญหาโลกร้อนทุกบ่ายวันศุกร์ เนื่องจากคนกลุ่มนี้จะเป็นผู้ที่แบกรับผลกระทบด้านลบของคนรุ่นก่อนไปอีกหลายสิบปี นอกจากนั้นประเด็นเรื่องคอร์รัปชันเด็กๆ ก็ยังให้ความสนใจ ผลการสำรวจของ
World Economic Forum พบว่า เด็กๆ 47% มองว่าคอร์รัปชันและการที่รัฐบาลไม่มีความรับผิดรับชอบเป็นปัญหาสำคัญ ซึ่งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญมองว่าเด็กจะเป็นพลังสำคัญในการต่อสู้กับคอร์รัปชันในอนาคต
เทคโนโลยีจะเป็นเครื่องมือใหม่ในการต่อสู้คอร์รัปชัน
ในอนาคต คนโกงจะโกงจากที่บ้านด้วยเทคโนโลยีมากขึ้น โดยการใช้สกุลเงินคริปโตฟอกเงินจากการโกง แอบลักลอบโจรกรรมข้อมูลด้วยเทคโนโลยีปัญหาประดิษฐ์ และ Machine Learning อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การทำกิจกรรมออนไลน์ (online activism) ของสังคมโซเชียล การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐตามมาตรฐานสากลที่เพิ่มมากขึ้น และการใช้ Machine
Leaning ในทางที่ถูกต้อง จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับคอร์รัปชันในอนาคต ยิ่งถ้าเกิดการต่อสู้ในลักษณะนี้แบบทวีคูณ จะยิ่งเกิดผลกระทบในวงกว้างต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
ร่วมกันสู้คอร์รัปชันดีกว่า
ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าภาคธุรกิจมีการต่อสู้กับคอร์รัปชันมากขึ้น ทั้งการงดให้ของขวัญในโอกาสต่างๆ เพราะเป็นช่องว่างให้เกิดการติดสินบน นอกจากนั้นภาคธุรกิจก็ได้นำเอากรอบข้อตกลงคุณธรรมไปใช้ในการทำธุรกิจมากขึ้น เนื่องจากในอดีตประชาชนมักเหมารวมว่าภาคธุรกิจเป็นผู้ที่หยิบยื่นการโกงให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจทั่วโลกเป็นอย่างมาก การร่วมกันต่อสู้ระหว่างภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ ภาคการเมือง ภาครัฐ น่าจะเป็นแนวทางที่สร้างการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุดในอนาคต
การทำความเข้าใจในความท้าทายและโอกาสการต่อสู้คอร์รัปชันในอนาคต น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความรู้สึกเห็นพ้องต้องกันไม่มากก็น้อย ซึ่งจะทำให้นักต่อสู้คอร์รัปชันเห็นภาพในอนาคตที่ชัดเจนขึ้น เพื่อรับมือกับฉากทัศน์ของการเปลี่ยนแปลงและการไม่เปลี่ยนแปลงต่างๆ
เฟรด พอลลัค นักสังคมวิทยาซึ่งเป็นเจ้าพ่อด้านอนาคตศึกษาได้กล่าวว่า ภาพอนาคตเป็นสิ่งที่สะท้อนสภาพสังคมอย่างหนึ่ง สังคมที่มีภาพอนาคตเลวร้ายมากๆ ก็จะส่งผลต่อคนในสังคมที่จะไร้ซึ่งความหวัง ซึ่งต้องกลับมาตั้งคำถามร่วมกันว่าอนาคตของคอร์รัปชันในสังคมไทยในอีก 10 ปี จะเป็นอย่างไร
อดิศักดิ์ สายประเสริฐ
นักวิจัย SIAM-lab
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี