1.การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นวาระสำคัญทางการเมืองที่จะบอกว่า การเมืองไทยจะเดินไปในทิศทางไหน ในเวลาเดียวกันการประท้วงต่อต้านรัฐบาลก็เป็นวาระทางการเมืองที่ต้องติดตาม ประกอบกับความล้มเหลวของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาปากท้องของประชาชนก็เป็นความน่าหนักใจ ทั้งหมดนี้ ถ้ามองแบบแยกส่วน และค้นหาหนทางแก้ไขไปทีละประเด็น ดังเช่นที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงก็คงไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไหร่ เพราะ “ความไม่เป็นประชาธิปไตย” คือ ต้นตอสำคัญที่ไม่มีวันปฏิเสธได้เลยว่า เป็นที่มาของปัญหาต่างๆ เหล่านี้
เมื่อลองย้อนกลับไปมองภาพการเมืองไทยในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ (2535) ที่นำไปสู่การสิ้นสุดของรัฐบาล “พล.อ.สุจินดา คราประยูร” คนส่วนใหญ่เชื่อว่า รัฐประหารได้หมดไปจากประเทศไทยแล้ว แต่ “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” ในนาม คมช.ก็ก่อรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร อีกครั้งในปี 2549 ก่อนที่จะเปิดทางให้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศต่อเนื่องยาวนาน 15 ปี จน “พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา” หัวหน้าคณะ คสช. เข้าควบคุมอำนาจในปี 2557 และใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ในการบริหารประเทศเกือบ 5 ปี จนมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เรื่อยมาจนถึงการเลือกตั้งในปี 2562 ที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” กลับมาเป็นรัฐบาลพลเรือนด้วยกระบวนการการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น
2.ดังนั้น ถ้าลองถอดประเด็นทางการเมืองที่มีผลกระทบต่อประชาธิปไตยของประเทศไทยในรอบ 20 ปีที่ผ่านมานี้ เราจะเห็นภาพที่น่าสนใจคือ 1) ทหารไม่ยอมให้ความมั่นคงของรัฐมีความเสี่ยงต่ออันตรายจากสถานการณ์ทางการเมือง 2) สถาบันที่ประคับประคองประชาธิปไตยอ่อนแอลง เช่น ศาล องค์กรอิสระ สื่อ และจริยธรรมทางการเมือง 3) คำพูดและการกระทำของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเปลี่ยนไป4) นักการเมืองรวมทั้งทหารที่เข้ามาเป็นนักการเมืองมองคู่แข่งทางการเมืองเป็นศัตรู และมุ่งทำลายกันเพื่อความได้เปรียบและชัยชนะทางการเมือง 5) สื่อสาธารณะทำหน้าที่ได้อย่างจำกัด และส่วนหนึ่งของสื่อเลือกข้างทางการเมือง6) การเลือกตั้งถูกคุกคามและเกิดการไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งและ 7) การใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง
จากปรากฏการณ์ 7 ประการดังกล่าวนี้ เรามักจะคิดว่าประชาธิปไตยสิ้นสุดลงด้วยการปฏิวัติรัฐประหารของทหารเท่านั้น แต่ความจริงแล้วพบว่า ประชาธิปไตยสิ้นสุดลงด้วยมือของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งก็ได้เช่นเดียวกันยกตัวอย่างในกรณีของ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” อดีตผู้นำจากประเทศเยอรมัน เป็นต้น
3.คำถามสำคัญคือ อะไรเกิดขึ้นกับประชาธิปไตย จึงนำไปสู่การหยุดชะงักหรือสิ้นสุดลง คำตอบถ้าตามแนวทางของแพทย์แล้ว ก็คงต้องขอใช้คำเปรียบเปรยเอาว่า “ประชาธิปไตยเป็นโรค” และโรคที่ประชาธิปไตย “ติดเชื้อ” มาจากการเลือกตั้งก็คือ หนึ่ง โรคอำนาจนิยม (Authoritarianism) สอง โรคอุดมคตินิยม (Idealism) และสาม โรคประชานิยม (Populism)
โรคทั้ง 3 นี้ ส่งผลให้นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง จัดตั้งรัฐบาล และบริหารประเทศตามแนวทางของทั้ง 3 โรคนี้ เช่น การใช้อำนาจจัดการกับคู่แข่งทาง
การเมือง, การสร้างนโยบายประชานิยมเพื่อให้ประชาชนนิยมชมชอบ แต่ไม่ได้แก้ไขสาเหตุปัญหาของประชาชน จนไปถึงนักการเมืองที่มีความเชื่อในอุดมคติบางอย่างและพยายามจะผลักดันให้เกิดขึ้น โดยไม่คำนึงถึงบริบทความเป็นจริงของคนไทยและสังคมไทย ที่สำคัญคือ โรคทั้ง 3 นี้นำไปสู่ความขัดแย้ง และการต่อสู้กันทางการเมือง จนทำให้ความมั่นคงของรัฐตกอยู่ในอันตราย และเป็นช่องทางให้ทหารต้องเข้ามายึดอำนาจอีกครั้ง และแน่นอนภาพเบื้องต้นทั้ง 7 ประการ (ดังที่เอ่ยไปแล้วนั้น) ก็จะฉายวนไปเวียนมาไม่รู้จบสิ้น นี่เองที่ทำให้ผมต้องออกมาเตือนในเรื่องของการให้ “ยาปฏิชีวนะ” แก่ประชาธิปไตย รวมไปถึง “การออกกำลังกาย” เพื่อให้ประชาธิปไตยแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม
4.เริ่มต้นด้วย 1) การยอมรับว่า “คู่แข่งทางการเมือง”เป็นคู่แข่งที่มีความชอบธรรม ไม่ใช่ศัตรู การยอมรับเช่นนี้จะทำให้การแข่งขันทางการเมืองเคลื่อนไปภายใต้กระบวนการของประชาธิปไตย ที่จะนำไปสู่การใช้เหตุผลต่อกันมากกว่าการใช้กำลัง และ 2) ความอดทนอดกลั้นต่อการ “ไม่ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่” เพื่อความได้เปรียบทางการเมืองของตน และพรรคการเมืองที่ตนสังกัด โดยเฉพาะการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่เพื่อความได้เปรียบในการเลือกตั้ง ผ่านการหาผลประโยชน์ต่างๆ และใช้ผลประโยชน์นั้นเพื่อชัยชนะ
เมื่อ “ยาปฏิชีวนะ” 2 ชนิดนี้ทำงาน จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาธิปไตย ซึ่งก็คือ ระบบการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance) จะมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น และยิ่งเมื่อใช้งานระบบนี้อย่างเป็นประจำเสมือนเป็นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เชื่อว่าจะสามารถไปทำลาย “เชื้อโรคของประชาธิปไตย” อาทิ การทุจริตคอร์รัปชั่น, ความสกปรกของการเลือกตั้ง, การคุกคาม
คู่แข่งทางการเมือง และสื่อเลือกข้าง รวมไปถึงความยากจนและความไม่รู้ของประชาชนผู้ออกเสียงในการเลือกตั้งได้อย่างเป็นปลิดทิ้ง (หลังจากที่ระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ) ตรงนี้เองคือการเติบโตของประชาธิปไตยในประเทศไทย ที่ผมหวังให้เกิดขึ้นในเร็ววันนี้ และน่าจะเป็นคำตอบอย่างดีสำหรับประชาชนคนไทยทุกภาคส่วน ในการจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราอยู่ตอนนี้
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี