องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน (อบจ.ลำพูน) เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ชุดแรกๆ ที่เข้าร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดตั้ง “กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน” ในปี 2555 ภายใต้แนวคิดที่ อบจ. เป็นหุ้นส่วนกับ สปสช. ไม่ใช่แขนขาของหน่วยงานส่วนกลาง ซึ่งทาง อบจ. ก็ได้ใช้ทุนทางวัฒนธรรมชุมชนที่เรียกว่า “วิถีครูบางานหน้าหมู่” เป็นแนวคิดการทำงาน
“ครูบาในที่นี้หมายถึงครูบาเจ้าศรีวิชัย ซึ่งเป็นปูชนียบุคคลสำคัญของชาวลำพูน วิถีครูบาก็คือหลักสามัคคีธรรมที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยใช้ในการทำงานแบบมีส่วนร่วม โดยผลงานที่มีชื่อเสียงก็คือการตัดถนนขึ้นดอยสุเทพนั่นเอง ส่วนคำว่างานหน้าหมู่ ในภาษาเหนือหมายถึงงานส่วนกลางของทุกคน วิถีครูบางานหน้าหมู่จึงเป็นหลักของคนลำพูนที่หลอมกันว่าการทำงานเพื่อคนพิการและผู้สูงอายุเป็นงานของทุกคน ทุกคนมาร่วมกันทำ”
นายก อบจ.ลำพูน นิรันดร์ ด่านไพบูลย์ อธิบายความหมายของวิถีครูบางานหน้าหมู่ โดยกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพ อบจ.ลำพูน จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนกลุ่มผู้พิการ ผู้มีภาวะเฉียบพลัน กึ่งเฉียบพลัน และผู้มีภาวะพึ่งพิง ผู้สูงอายุ ให้ได้รับอุปกรณ์เครื่องช่วย และการฟื้นฟูสมรรถภาพทั้งในชุมชนและในหน่วยบริการ ซึ่งแนวทางการบริหารจัดการ คือ สปสช.และ อบจ. สมทบงบประมาณกองทุน มีคณะกรรมการบริหารระดับจังหวัด โดยมีนายก อบจ. เป็นประธาน มี สปสช.เขต 1เชียงใหม่ เป็นที่ปรึกษาและกำกับติดตาม
มีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นรองประธาน ดำเนินงานสนับสนุนหน่วยบริการ องค์กรผู้สูงอายุและผู้พิการ ชุมชนและครอบครัว สนับสนุนอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยระยะฟื้นฟู (Sub Acute) ที่จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟู โดย นายก อบจ.ลำพูน กล่าวว่า เมื่อเป็นหุ้นส่วนกัน การทำงานจะเข้าใจกันง่ายขึ้น สปสช.อาจคิดในส่วนของภาพใหญ่หรือวิชาการ แต่ อบจ.คิดในเชิงการบริการในท้องถิ่น
“ในช่วงแรกของการดำเนินงานก็มีความกังวลใจอยู่บ้าง เพราะแนวคิดการทำงานจากส่วนกลางและท้องถิ่นค่อนข้างแตกต่าง ทางท้องถิ่นก็เป็นห่วงว่าจะกลายเป็นแขนขาของหน่วยงานส่วนกลาง ไม่มีอิสระในการทำงาน แต่เมื่อทำงานร่วมกันมาก็มีการปรับจูนแนวคิดจนถึงปัจจุบัน สปสช.ขยายบทบาทให้แต่ละกองทุนสามารถคิดงานได้เอง ถือเป็นทิศทางที่ดีและคิดว่าการร่วมมือนี้ไม่ได้เป็นลักษณะของสายการบังคับบัญชา แต่เป็นหุ้นส่วนกันในพื้นที่เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน” นิรันดร์ กล่าว
นายก อบจ.ลำพูน กล่าวต่อไปว่า กองทุนฟื้นฟูฯจังหวัดลำพูนมีการ “ปรับปรุงกลไกการขับเคลื่อนงานให้มีความคล่องตัว” เพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการ บูรณาการงานให้สอดคล้องกับนโยบายและระเบียบปฏิบัติของทุกภาคส่วน สนับสนุนการส่งเสริมการดำเนินงานแทนการจัดซื้อจัดหา ขยายการขอรับการสนับสนุนสู่กลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น มีระบบการสนับสนุนที่ยืดหยุ่นและเอื้อให้เกิดการทำงานแบบบูรณาการ เอกสารหลักฐานต่างๆ มีความชัดเจน ลดขั้นตอนกระบวนการทำงาน และมีการติดตามกำกับ ประเมินผลงานที่ชัดเจน
หลักเกณฑ์ที่ว่านี้ก็คือ “การประยุกต์สิ่งที่เป็นหลักเกณฑ์ใหญ่ๆ ของระดับชาติให้ลงมาเป็นคู่มือหรือเแนวทาง” ให้คณะกรรมการบริหารกองทุนซึ่งมาจากหลายภาคส่วนเข้าใจง่ายขึ้น จะได้เป็นคู่มือให้คณะกรรมการบริหารใช้เทียบเคียงเวลาอนุมัติงบประมาณ เช่น ถ้ามีการขอโครงการมา โครงการนี้เป็นกลุ่มเป้าหมายตามนโยบายระดับชาติหรือไม่ ถ้าเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพ ก็จะมีวงเล็บบอกไว้ว่ากลุ่มไหนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย คณะกรรมการก็จะเข้าใจได้ทันทีว่ากลุ่มไหนควรได้การช่วยเหลือแบบไหน และง่ายต่อการตัดสินใจ เป็นต้น
“จุดหนึ่งที่จำเป็นต้องคิดหลักเกณฑ์ขึ้นมาเพราะในช่วงแรกของกองทุนฟื้นฟู ส่วนกลางไม่ได้ออกแนวทางอะไรที่ชัดเจน เราก็ไปเรียนรู้ศึกษาจากหลายจังหวัดแล้วพบว่าไม่มีอะไรถูก อะไรผิด เพราะฉะนั้นเลยคิดว่าถ้าแบบนี้เราต้องมีหลักเกณฑ์นี้ขึ้นมาเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างวิถีชุมชนกับนโยบายระเบียบต่างๆ แล้วนำมาใช้เป็นแนวทางของคณะกรรมการบริหาร หลักเกณฑ์ถูกปรับให้สอดคล้องกับเป้าหมายส่วนกลางและบูรณาการเข้ากับวิถีชุมชน เพื่อให้สะดวก ไม่ขัดหลักเกณฑ์ สอดคล้องกับวิถี ความคิด ความเชื่อของชุมชน” นายก อบจ.ลำพูน ระบุ
นิรันดร์ ย้ำว่า “ระเบียบที่ส่งมาจากส่วนกลางจะต้องถูกปรับให้เข้ากับหลักเกณฑ์ของกองทุน” มีการหารือร่วมกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง “ยากในช่วงแรก..แต่ง่ายในระยะยาว” ถกกันให้ได้ข้อสรุปเพื่อที่หน่วยงานซึ่งจะรับไปดำเนินการได้เข้าใจหลักเกณฑ์ อีกทั้งยังต้องทำความเข้าใจและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เข้าพื้นที่ไปรับรู้สภาพความเป็นอยู่และความต้องการของผู้พิการและผู้สูงอายุ จากนั้นร่วมกันพัฒนาคุณภาพชีวิตภายใต้การทำงานร่วมกับภาคีเครือข่าย
โดยนโยบายของ อบจ.ต้องการให้ความช่วยเหลือครอบคลุมทุกพื้นที่รับผิดชอบ จึงต้องอาศัยเทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในพื้นที่ช่วยอีกทางหนึ่ง เช่น “การปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย” ตั้งเป้าพื้นที่ละ 5 ราย กระบวนการการช่วยเหลือ ทาง อบต.หรือเทศบาลในพื้นที่ส่งเอกสารคำร้องเข้ามา จากนั้นคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตร่วมกับ อปท.ในพื้นที่ ลงพื้นที่สำรวจบ้านผู้พิการ
แล้วนำข้อมูลมาให้อนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลั่นกรองก่อนเสนอให้คณะกรรมการกองทุนอนุมัติทุกๆ 2 เดือน จากนั้น อบจ. ทำบันทึกความตกลงร่วมกัน (MOU) กับเทศบาล หรือ อบต. ในพื้นที่เพื่อโอนเงินให้จัดหาวัสดุก่อสร้างตามแบบแปลนและราคาประเมินตามจริงรายละไม่เกิน 50,000 บาท การดำเนินการก่อสร้างก็จะใช้แรงงานอาสาภายในชุมชนมาทำงานร่วมกัน เมื่อปรับปรุงแล้วเสร็จจึงส่งมอบแก่ผู้พิการหรือผู้สูงอายุรายนั้นๆ ต่อไป
“ที่เห็นข้อจำกัดเลยคือกระบวนการทางระเบียบกฎหมายที่ค่อนข้างแข็ง ทำให้การบริการไม่สามารถได้ใช้ทันเวลาหลายคนเสียชีวิตไปก่อน หลายคนก็ไม่ได้ประโยชน์เลย เช่น กองทุนเราต่อสู้ในเรื่องการให้บริการผู้พิการทางหู คิวในการรับบริการยาวมาก 2,000-3,000 คน กระบวนการแบบนี้น่าจะมีวิธีการเปิดช่องให้ท้องถิ่นดำเนินการได้โดยไม่ผิดระเบียบเพื่อจะได้ให้บริการได้รวดเร็วมากขึ้น” นิรันดร์ กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงานที่ผ่านมา มีวงเงินที่ อบจ.และ สปสช. สมทบกันจำนวน 30 ล้านบาท ใช้ไปแล้ว 21 ล้านบาทหรือร้อยละ 70.29 แยกเป็นการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย 360 หลัง เป็นเงิน 11.8 ล้านบาท จัดซื้ออุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ 1,716 ชิ้น เป็นเงิน 7.2 ล้านบาท และใช้จ่ายในด้านการบริหารจัดการอีกประมาณ 2.5 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ในความคิดของนายก อบจ.ลำพูน ยังมองว่าอยากให้ สปสช. ขยายบทบาทกองทุน ในการช่วยเหลือให้มากขึ้น
เพราะที่ผ่านมาก็ยังมีบางกลุ่มที่ยังตกหล่นอยู่อีก!!!
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี