หลายคนหวั่นวิตก หลังจากที่รัฐบาลประกาศปิดห้างสรรพสินค้า ผับ หรือสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมาก และนอกจากนี้รัฐบาลได้ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดจำทำให้ยอดผู้ป่วยทะลุ 1,045 ราย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563
ทั้งนี้ คาดว่าจำนวนผู้ป่วยน่าจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากประชาชนจำนวนหนึ่งที่ทำงานอยู่กรุงเทพมหานคร เดินทางกลับภูมิลำเนาภายหลังจากที่รัฐบาลประกาศปิดสถานที่ต่างๆ ทำให้บุคคลเหล่านี้ต้องเดินทาง “กลับบ้าน” ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง อาทิ ว่างงาน ไม่มีรายได้ เป็นต้น และอีกส่วนหนึ่ง คือ บุคคลที่มาเชียร์มวยที่สนามนวยลุมพินี เดินทางกลับภูมิลำเนาเช่น ซึ่งบางคนกลับบ้านไปก็มีการกักตัวเองตามที่กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือให้กักตัวเองอยู่บ้าน 14 วัน แยกของใช้ส่วนตัวจากครอบครัว แต่ก็ยังมีบุคคลอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ปฏิบัติตาม
ล่าสุดยอดผู้ป่วยได้ขยายพื้นที่ไปหลายจังหวัด ยอดผู้ป่วยแต่ละจังหวัดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนมากมาจากบุคคลที่เข้าไปสนามมวยลุมพินี และบางส่วนก็เป็นคนที่เดินทางกลับมาจากกรุงเทพมหานคร “ทีมข่าวเฉพาะกิจแนวหน้าออนไลน์” ได้สำรวจความคิดเห็นของกลุ่มคนรุ่นใหม่ เกี่ยวกับมุมมองดังกล่าวว่ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?
ซึ่งหนึ่งในนั้น “นายนัธทวัฒน์ ศักดิ์ดีวรกานต์” หรือ “โต๊บ” อายุ 19 ปี นักศึกษาสาขาการบัญชี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ให้เหตุผลว่า สำหรับตนการที่กลับต่างจังหวัดมันมีทั้งข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ข้อดี คือ การที่ได้ลดความเสี่ยงไปในตัว เพราะกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่เสี่ยงที่สุด ด้วยประชากรและก็สภาพแวดล้อมต่างๆ ที่สามารถทำให้เราติดโรคได้มากขึ้นคนส่วนใหญ่เลยเลือกที่จะกลับต่างจังหวัดมากกว่าอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ข้อเสียของการกลับต่างจังหวัด คือ เราไม่รู้ว่าเราจะติดโรคไปหรือไม่ เพราะโรคชนิดนี้มันเหมือนไข้หวัดธรรมดา เลยมีความเสี่ยงที่จะไปแพร่เชื้อในแถบต่างจังหวัดได้
“คนที่กลับบ้านต่างจังหวัด แต่ไม่ยอมกักตัวผมมีความเห็นว่าการที่คนๆ นั้นไม่ยอมกักตัวอาจจะเป็นเพราะคิดว่าอาจจะไม่ได้ติดโรค เนื่องจากคนในปัจจุบันไม่ชินกับเหตุการณ์แบบนี้ เลยไม่ได้คิดถึงปัญหาที่จะเกิดในอนาคต แต่จริงๆ เราก็ควรจะกักตัวเอง ถึงแม้เราอาจจะคิดว่าไม่ได้ติดโรค แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไง ทั้งนี้ ควรนึกถึงคนบริสุทธิ์อีกมากมายที่เขาต้องเราเสี่ยงกับเรา แค่ช่วยกันถึงแม้มันอาจจะนานหน่อย แต่ผมว่ามันจะกลับมาดีเหมือนเดิม หรือไม่อาจจะดีกว่าเดิมก็ได้” นายนัธทวัฒน์ กล่าว
ขณะที่ “นายฉัตรดนัย ฉันทนาเลิศ” หรือ “หมิง” นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ตนรู้สึกหลายอย่างมาก อย่างแรกก็รู้สึกแย่ และไม่เห็นด้วยจริงๆ ตรงที่มีกลุ่มคนบางกลุ่มในสังคมไม่ค่อยโฟกัสแล้วก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ คนติดเชื้อก็เพิ่มขึ้นทุกวัน ควบคุมอะไรก็ยาก ใช้ชีวิตก็ลำบากกันไปหมด แต่กลุ่มคนที่กลับต่างจังหวัด อาจจะมีเหตุผลของตัวเองด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ที่ทำให้ต้องกลับ แต่มันก็คือความรับผิดชอบต่อสังคม มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของคนใดคนหนึ่ง แต่มันคือความรับผิดชอบของทุกๆคนในตอนนี้
“จริงๆผมก็รู้สึกเห็นใจคนที่กลับบ้าน บางคนตกงาน ถูกหยุดงาน เงินไม่พอ บางคนต้องทำงานหาเงินส่งเลี้ยงพ่อแม่ แต่ไม่มีงานทำเพราะเกิดโรคระบาดขึ้น พอมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เงินที่ได้ต่อเดือนหรือต่อวันมันหยุด แต่ค่าใช้จ่ายต่างๆมันไม่ได้หยุดตาม คนเราก็ต้องกินต้องใช้ ถึงจะปิดห้างปิดร้านต่างๆ แล้วเปิดซุปเปอร์มาเก็ต เพื่อแก้ปัญหาการติดเชื้อ แต่คนที่ทำงานหาเช้ากินค่ำ ชนชั้นแรงงานเค้าจะอยู่กันยังไง การกลับต่างจังหวัดก็ลดค่าใช้จ่ายอะไรไปได้เยอะเหมือนกัน ในมุมมองของคนต่างจังหวัด ถ้าตกงานในกรุงเทพก็คือต้องกลับบ้าน อย่างน้อยก็มีอะไรกิน แต่ทั้งนี้ ผมมองว่าทุกคนต้องช่วยกัน ทางรัฐก็มีหน้าที่สร้างความเชื่อมั่นและกำหนดแนวทางต่างๆว่ามีปัญหาแบบนี้แล้วมีมาตรการอะไรมารองรับบ้าง รวมไปถึงการให้ความรู้ต่างๆ อย่างถูกต้องถูกวิธี ผมเชื่อว่าคนไทย เมื่อถึงเวลาวิกฤตเราพร้อมที่จะฝ่ามันไปด้วยกันได้” นายฉัตรดนัย กล่าว
ส่วน “นางสาววรรณพร หวังจิตต์” หรือ “หนิง” อายุ23ปี นักศึกษาพยาบาลสาขานานาชาติ มหาวิทยาลัยคริสเตียน กล่าวว่า ไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเท่านั้น ยังส่งผลต่อสุขภาพชีวิตของทุกคนในประเทศไทยอีกด้วย นั่นแปลว่าการรักษาสุขภาพ และการรับผิดชอบต่อตนเองเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากมันบ่งบอกถึงความคิด การจัดการ การวิเคราะห์ เพื่อให้ทุกคนผ่านพ้นไปได้ด้วยดี อยากให้ทุกคนคำนึงเห็นว่าการขาดความรับผิดชอบในการกักกันและป้องกันตัวเองไม่ได้ส่งผลที่ดีต่อตนเอง ครอบครัว คนในสังคม รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์
“ถ้าคุณรักตัวคุณ รักครอบครัวคุณ ช่วยกันลดการแพร่กระจายเชื้อ ลดในการเดินทางไปสถานที่ที่มีความเสี่ยง เมื่อมีอาการป่วย ควรรีบพบแพทย์และแจ้งประวัติตามความเป็นจริงเพื่อการรักษาที่เหมาะสมและมีการป้องกันอย่างถูกวิธี” น้องหนิง กล่าว
ส่วน “นายคมเดช สุขใจ” หรือ “ฟ้า” อายุ 26 ปี นักศึกษาคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม สาขาการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ให้เหตุผลว่า คนไทยยังถือว่าดีที่มีตัวอย่างจากประเทศอื่นๆ ที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 เราควรจะศึกษาจากประเทศเหล่านั้น และช่วยกันรับมือ แต่ตนรู้สึกหดหู่ และไม่ปลอดภัย จากสถานการณ์ที่ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดมากขึ้น รวมถึงกลุ่มคนที่กลับบ้านแล้วไม่ยอมกักตัวเอง "ถ้าไม่ห่วงคนอื่นก็อยากให้ห่วงตัวเองบ้าง"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี