บัดนี้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล พากันสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปขอบรรดาพุทธบริษัททุกท่านพยายามรวบรวมกำลังใจของท่านให้เป็นสมาธิ สำหรับอิริยาบถให้เป็นไปตามอัธยาศัย จงพยายามอย่าเคร่งเครียดในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งโดยเฉพาะ ถ้านั่งท่านี้ไม่ดีก็ขยับไปท่าโน้น นั่งเก้าอี้ นั่งห้อยขา นั่งเหยียดเท้าก็ได้ แล้วถ้านั่งไม่สบายจะนอนก็ได้ นอนไม่สบายจะยืนก็ได้ ยืนไม่สบายจะเดินก็ได้ ให้ร่างกายมันเป็นสุข ทั้งนี้ถ้าหากว่าเราไปยุ่งอยู่กับร่างกาย กำลังใจจะเข้าไปยุ่งอยู่กับทุกขเวทนานั้น อย่าลืมว่าผลแห่งการปฏิบัตินี่เราปฏิบัติใจ อย่างไรๆ ก็พยายามเชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ก่อน ในเมื่อองค์สมเด็จพระชินวรตรัสไว้อย่างนี้ก็ปฏิบัติตามนั้น และเวลาปฏิบัติอย่าทรมานตนอย่างหนึ่ง และกำลังที่ปฏิบัติอย่าคิดว่าอยากจะได้จุดนั้น อยากจะได้จุดนี้ ทำจิตของเราให้เป็นไปตามคัลลองที่กำลังปฏิบัติ
นักปฏิบัติทั้งหมดนี่จำเป็นอย่างยิ่งก็คือการกำหนดลมหายใจเข้าออก เพื่อให้จิตทรงสมาธิ หรือว่าถ้ากำหนดลมหายใจเข้าออกไม่สบาย จะใช้คำภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือว่าจะพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตามใจชอบ ตามแบบที่ศึกษามาแล้ว หากว่าท่านทั้งหลายที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วจะใช้ปัญญาใคร่ครวญในขันธ์ห้า ที่เรียกกันว่าร่างกาย ว่านี่ร่างกายเราเต็มไปด้วยความสกปรก ร่างกายของเราเป็นของไม่เที่ยง ถ้าเรายึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเราอยู่ จิตมันก็เป็นทุกข์ เราจะปล่อยมันไปเสียเพราะมันเป็นอนัตตา ในที่สุดนั้น ร่างกายคนอื่นหรือว่าทรัพย์สินอื่นๆ ในโลกก็เช่นเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เราสักแต่ว่าเห็น เราสักแต่ว่ารู้ ไม่ยึดถือว่ามันเป็นเราของเรา
ถ้าทำจิตอย่างนี้ได้จนเป็นเอกัคตารมณ์ มีปัญญาเห็นได้ชัด สามารถตัดขันธ์ห้า คือไม่เกี่ยวข้องกับขันธ์ห้าได้ ใจจะเป็นสุข ถ้าพิจารณาอย่างนี้ได้เสมอๆ จะไม่กำหนดรู้คำภาวนา ไม่กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกก็ได้ ถ้าการพิจารณาปลงใจอย่างนี้ เป็นที่ชอบใจขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งนี้เพราะพิจารณาอยู่อย่างนี้เป็นปกติอารมณ์ของท่าน อย่างเลวท่านก็เป็นพระโสดาบัน ดีขึ้นไปอีกนิดหนึ่งท่านก็เป็นพระสกิทาคามี ดีขึ้นไปอีกหน่อยหนึ่งท่านก็เป็นพระอนาคามี แต่จิตทรงอย่างนี้ได้จริงๆ ตลอดเวลานั่น ท่านเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์เป็นกันตรงนี้เท่านั้น เป็นไม่ยาก แต่เรื่องพระอรหันต์อธิบายกันแล้ว
วันนี้ก็จะขอนำเอาปฏิปทาของท่านผู้เฒ่าเล่าสู่กันฟัง จะได้จำไว้ว่าพระในปัจจุบัน คำว่าปัจจุบันก็หมายความว่าหลังนี้ไปประมาณ ๓๐ ปีเศษ ซึ่งเป็นระยะที่ไม่นาน ที่พยายามปฏิบัติเชื่อฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมารแล้วก็ปฏิบัติตามก็เป็นพระอรหันต์ได้เวลาไม่ไกล จะมานั่งนึกว่าเวลานี้ไม่มีอรหันต์ เวลานี้ไม่มีพระอริยเจ้า เวลานี้ไม่มีพระทรงฌาน พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกไว้ บอกไว้แต่เพียงว่าศาสนาของเราในพันปีที่หนึ่งจะมีพระอรหันต์มากไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ พันปีที่สองจะมีพระอรหันต์มากไปด้วยอภิญญาหก พันปีที่สามจะมีพระอรหันต์มากไปด้วยวิชชาสาม พันปีที่สี่จะมีพระอรหันต์มากไปด้วยสุกขวิปัสสโก พันปีที่ห้าจะมีพระอริยเจ้ามากไปด้วยพระอนาคามี
คำว่ามากหมายความว่าพวกนี้มากพวกอื่นก็ยังมีแต่ว่าน้อยไปหน่อย ท่านบอกว่าอย่างนี้ แล้วมีคนบางคนมาเขียนบอกว่าเวลานี้พระอริยเจ้าไม่มีแล้ว ท่านผู้เขียนเขาไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า จะเอาคนตาบอดไปคลำช้างไม่รู้จักว่ารูปร่างหน้าตาของช้างเป็นอย่างไร ถ้าไปคลำขาช้างก็จะนึกว่าช้างนี่เหมือนเสา ถ้าไปคลำงวงช้างก็จะนึกว่าช้างเหมือนกับปลิง ไปคลำหางช้างก็จะนึกว่าช้างนี้เหมือนกับไม้กวาด เป็นอันว่าคนตาบอดไม่มีโอกาสจะรู้จักว่าสภาพของช้างเป็นอย่างไร ข้อนี้ฉันใดแม้คนที่เขียนหนังสือไว้ก็เช่นเดียวกัน
เขาเป็นคนที่ยังเมามันด้วยอำนาจของกิเลส แต่กลับมาพยากรณ์ศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ว่าเวลานี้พระผู้ทรงฌานไม่มีแล้ว พระอริยเจ้าไม่มีแล้ว ก็ถอยหลังจากนี้ไปประมาณ ๓๐ ปี เรายังมีพระอรหันต์ ตามที่เล่าสู่ท่านฟัง ที่บอกว่าท่านเป็นอรหันต์ก็เพราะว่าบันทึกของท่านเขียนไว้ว่ามีจิตจุดเข้าถึงพระนิพพาน ซึ่งจะได้ฟังต่อไปในวันหน้า ท่านยืนยันของท่านอย่างนั้น ท่านก็ไม่ได้เขียนหนังสือปฏิปทาของท่านเป็นการค้าขายเอาสตางค์ เวลานี้ตัวท่านไปไหนแล้วก็ไม่รู้ บังเอิญหลวงตาเฒ่าผู้นี้ไปค้นไปคว้ามาบังเอิญไปพบตำรับตำราหรือว่าหนังสือที่ท่านบันทึกเอาไว้ จึงได้มีความเข้าใจว่า โอ หนอ นี่เราอาจจะเดินชนพระอรหันต์ตายไปกี่องค์แล้วก็ไม่ทราบ ทั้งนี้เพราะเราเป็นคนตาบอดเราเป็นคนหูหนวก เราไม่มีความดีสม่ำเสมอกับท่านจึงไม่รู้ว่าท่านทรงคุณธรรมอะไร เวลาที่พบกับท่านก็สภาวะเหมือนคนธรรมดา ไม่เคยถือตัวถือตน ชอบอย่างเดียวคือการคุยกันด้านกุศลท่านชอบ ถ้าคุยเรื่องอกุศลท่านเงียบ ท่านไม่ชอบ แต่ว่าท่านก็ไม่ปฏิเสธ เราพูดไปท่านก็ยิ้มเรื่อยๆ แสดงว่าท่านไม่เห็นด้วย
มาคุยกันถึงปฏิปทาของท่าน คุยกันตั้งแต่ต้นจำอะไรได้บ้าง ยึดถืออะไรได้ไว้บ้าง เมื่อคืนที่แล้วพูดกันมา ท่านตีโป่งไปถึงสมาบัติแปด แล้วนั่งเล่นสมาบัติแปดเข้าฌาน ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, แล้วมา ๗, ๖, ๕, ๔, ๓, ๒, ๑ แล้ว ๒, ๕ ,๗ สลับกันไปเรื่อย มันเพลินดีเหลือเกิน จิตมีความสุข จิตมีอารมณ์ชื่นบาน ท่านว่าดีกว่าคุยกับชาวบ้าน ดีกว่าดูมหรสพ แต่อย่าลืมว่าจิตที่เข้าสมาบัติแปดนั้นยังไม่ได้ทิพจักขุญาณและก็ยังไม่ได้อภิญญาหก ถ้าบังเอิญจะใช้พื้นฐานของสมาบัติแปดเป็นพื้นในการเจริญวิปัสสนาญาณ เวลากาลที่จะเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ไม่ยาก อย่างช้าไม่ถึงเจ็ดเดือน อย่างเร็ว ๗ วัน ไม่ถึง ๗ ปีแน่ เป็นอันว่าท่านที่เจริญพระกรรมฐานทรงสมาบัติแปดได้ แล้วเอาสมาบัติแปดเป็นพื้นฐานแห่งการเจริญวิปัสสนาญาณ
พระอาจารย์รุ่นเก่าท่านบอกว่าเพียงแค่ชั่วเคี้ยวหมากแหลกก็สำเร็จอรหัตผล ก็สงสัยเหมือนกันว่าคนที่เคี้ยวหมากน่ะหมากแข็งหรืออ่อนก็ไม่ทราบ ถ้าบังเอิญเป็นหมากแข็งคนที่เคี้ยวไม่มีฟันก็น่าคิด แต่ทว่าสาวกขององค์สมเด็จพระธรรมสามิสร์ คงไม่คิดอย่างนั้น ท่านถือว่าผู้ที่ทรงสมาบัติแปด สามารถที่ทรงความเป็นอรหันต์ได้โดยฉับพลันแล้ว ถ้าหากปฏิบัติตนเข้าถึงพระอนาคามีก็จะเข้าถึงปฏิสัมภิทาญาณ มีวิชชาสามและอภิญญาหกคลุมไว้ได้หมดทุกอย่าง แล้วได้ยิ่งไปกว่านั้นคือปฏิสัมภิทาญาณ คือมีการทรงพระไตรปิฎก สามารถจะรู้ภาษาคนภาษาสัตว์ทุกอย่าง อันนี้เป็นอำนาจของปฏิสัมภิทาญาณ
ในเมื่อท่านเล่นสมาบัติแปด ตั้งแต่สมาบัติหนึ่งถึงสมาบัติแปดจนมีความชำนาญ เข้าเมื่อไรก็ได้ เข้าฌานไหนออกฌานไหนก็ได้ตามอัธยาศัย ท่านบอกว่าเพลินเรื่อยไปประมาณ ๑ เดือน พอครบหนึ่งเดือนท่านก็มานั่งนึกในใจว่า เราจะมานั่งเล่นสมาบัติแบบคนหูหนวกตาบอดคลำช้างอยู่เพื่อประโยชน์อะไร ถ้าจะหันไปเล่นวิชชาสาม กำลังจิตใจของเราก็สูงไปกว่านั้น ก็จะมาลองเล่นอภิญญาหกดูบ้างจะเป็นไร เห็นเพื่อนๆ เขาอยู่ใกล้ๆ เห็นเขามีอภิญญาหก ทรงอิทธิฤทธิ์ อภิญญาหก นี่มีฤทธิ์ มีอำนาจมาก อิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ได้ทุกอย่าง จะนิรมิตอะไร จะแสดงอะไร เหาะเหิน เดินอากาศก็ได้ ดำดิน ดำน้ำ อะไรก็ตามใจนึก ทิพพโสตญาณ มีประสาทเป็นทิพย์
ถ้าต้องการจะฟังเสียงใกล้เสียงไกล จิตจับฌานเดี๋ยวเดียวได้ยินเสียงหมด แล้วก็ทิพจักขุญาณ มีอารมณ์ใจเป็นทิพย์ จุตูปปาตญาณ รู้คนและสัตว์ที่มาเกิดนี่มาจากไหน คนและสัตว์ที่ตายไปแล้วไปไหน เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตของคน คนและสัตว์นึกว่าอย่างไรนี่รู้หมด ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ รู้ระลึกชาติได้ไม่จำกัดชาติ อตีตังสญาณ รู้อดีตของคนและสัตว์สถานทั้งหมด อนาคตังสญาณ รู้เรื่องราวคนและสัตว์สถานทั้งหมดว่าเขาจะเป็นอย่างไร รู้ได้หมด และก็ปัจจุปปันนังสญาณ รู้ว่าเวลาปัจจุบันใครทำอะไรอยู่ที่ไหน มีความสุข ความทุกข์ประการใดรู้หมด ยถากัมมุตาญาณ คนและสัตว์ที่มีทุกข์อยู่ในปัจจุบันอาศัยกรรมอะไรเป็นปัจจัยรู้หมด เป็นอันว่าอภิญญาหกมันดีอย่างนี้
ท่านเล่าไว้ในหนังสือว่าลองมันดู ตำราท่านว่ามันดี แต่เราก็จะไปรับรองว่าตำราดีเสียจริงๆ เราก็จะกลายเป็นคนโง่ เราก็มานั่งพิสูจน์ความดีองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงพรรณนาไว้ว่ามีจริงหรือไม่จริงเป็นประการใด ท่านก็มานั่งตั้งกันใหม่ จับกสิณสิบ ว่าตั้งแต่ปถวีกสิณ คือ กสิณดิน เตโชกสิณ กสินไฟ วาโยกสิณ กสิณลม อาโปกสิณ กสิณน้ำ โลหิตกสิณ กสิณแดง นีลกสิณ กสิณสีเขียว ปีตกสิณ กสิณสีเหลือง โอทาตกสิณ กสิณสีขาว อากาสกสิณ กสิณคืออากาศ อาโลกกสิณ กสิณคือแสงสว่าง ท่านชำนาญในฌานถึงสมาบัติแปด ในเมื่อมาเล่นกสิณอย่างนี้มันก็เป็นของเด็กเล่น ท่านบอกจับกสิณอะไรมันก็ได้ไปหมด ไม่เห็นมันมีอะไรยาก จับปถวีกสิณ ปถวีกสิณก็ปรากฏ ปฏิภาคนิมิต ไม่ได้ขึ้นต้น จับปลายเพราะกำลังของจิตสูงมากเกินไปเกินกว่า ที่จะมาไล่กสิณตามลำดับ แล้วมานั่งจับกสิณน้ำ กสิณดิน กสิณไฟ กสิณลม กสิณอะไรก็ตาม เดี๋ยวเดียว กสิณ ๑๐ อย่างภายในวันเดียวจบ
มันจะไม่จบอย่างไร ก็กำลังใจของท่านทรงสมาบัติแปด เล่นเข้าฌานออกฌานตั้งแต่ฌานหนึ่งถึงฌานแปด ล่ออยู่ตั้งเดือน แล้วก็สลับกันมาสลับกันไปในระหว่างฌาน ก็สนุกสนานดีมีความสุข มีความคล่องจนชิน ถอยหลังมาจับกสิณซึ่งเป็นกรรมฐานต่ำกว่า เป็นของยากที่ไหน ก็เหมือนกับบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่มีกำลังมากไปยกของที่เด็กๆ ยกไหว เด็กอายุ ๑๒, ๑๓ ยกไหว แล้วคนที่เป็นผู้ใหญ่ที่มีกำลังสมบูรณ์มากยกไม่ไหวมันก็ซวยเต็มที เป็นอันว่าท่านเล่าให้ฟังว่าคิดว่า มันจะยาก แต่เนื้อแท้จริงๆ แล้วมันง่ายเหลือเกิน วันเดียวนั่งเล่นกสิณสบายๆ สิบกองมันเรื่องเล็ก ท่านบอกว่าทำเหมือนกับเด็กเล่นปั้นลูกกระสุน สมัยนั้นไม่มีอย่างอื่น มีแต่เล่นลูกกระสุน เด็กๆ ปั้นลูกกระสุนยิงนกได้คล่องตัวฉันใด การทรงสมาบัติแปดเข้าฌานออกฌานสลับกันไปสลับกันมาตั้งเดือนเป็นประโยชน์มาก เมื่อเข้าฌานในกสิณตามลำดับฌานคือ ๑, ๒, ๓, ๔ ในกสิณต้นและก็ว่าไปถึง ๑๐ ๑-๒ ๓-๔ แล้วก็สลับทุกกสิณ แล้วเข้าฌานสลับฌาน ๑-๒-๓-๑ อะไรก็ตามว่ากันไปสลับกันไปกันมาจนคล่อง
ท่านบอกว่ามันง่ายจริงๆ เล่นอย่างนี้ให้มันช่ำเพื่อความมั่นใจ ตั้งเวลาไว้ว่าจะใช้เวลาสักหนึ่งเดือนเล่นให้มันสนุก แล้วท่านก็ไม่ทิ้งสมาบัติแปดของท่าน เล่นกสิณบ้าง เล่นสมาบัติแปดบ้าง คลุกเคล้ากันไปตามลำดับจนมีความคล่องดีถึงวันที่ ๑๕ เมื่อวันที่ ๑๕ ผ่านไป เวลานั้นท่านบอกว่าใครเขาหาว่าฉันเป็นใบ้ไปหมด ใครเข้ามาพูดกับฉันๆ ก็ไม่อยากจะคุยมันเกรงใจชาวบ้านก็พูดคำสองคำ เออๆ ค่ะ ชาวบ้านเขาเห็นคุยน้อย เขาก็เลยไม่อยากคุยด้วย เขากลับไป เขากลับไปฉันก็นั่งเล่นของฉันคนเดียวสบาย กลางคืนกลางวันฉันไม่รู้ กินข้าวอิ่ม หลังกินข้าว ก่อนกินข้าว ไม่ทราบ เวลาทำงานฉันก็ทำ ขึ้นหลังคา ลงก้นแม่น้ำก็ทำ ทำทุกอย่างงานการใดๆ ที่มีในวัดฉันทำหมด ขณะที่ฉันทำงานกิริยาที่มันทรงตัว จะนั่งหรือจะยืนอยู่ก็ดีก็เล่นกสิณไปด้วย ฉันเล่นสมาบัติแปดของฉันไปด้วย หนึ่ง สอง สาม ถึงแปด เล่นไปสนุก ท่านบอกว่าเวลาบางทีแดดร้อนๆ มันก็ไม่รู้สึก อากาศหนาวก็ไม่อยากจะหนาว เพราะเนวสัญญานาสัญญายตนะปรากฏจับจิตจนชิน
นี่ความจริงท่านบอกว่ามันมีอารมณ์เป็นสุขบอกไม่ถูก ท่านเขียนไว้ภายในประวัติ ท่านดีใจแล้วท่านไม่เคยคิดเลยว่าคนอย่างท่านจะเป็นคนมีวาสนาบารมีได้อย่างนั้น หวนกลับไปท่านก็มีความเข้าใจว่าหลวงพ่อปานท่านมีคำแนะนำไว้เสมอ เห็นหน้าทุกวัน หลวงพ่อปานบอกว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยาย เอตัง กาสาวัง คเหตวา ว่าคุณจงจำไว้ว่า คุณบวชเข้ามารับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หลวงพ่อปานท่านบอกอย่างนั้นเสมอ เมื่อถึงวันที่ ๑๕ ผ่านไป รุ่งขึ้นหลวงพ่อปานเรียกเข้าหาเป็นส่วนตัวเวลากลางคืนสักสองทุ่มเศษ
หลังจากที่ท่านคุยกับพระบริษัทของท่านเพื่อเป็นการปลุกใจให้สร้างความดีแล้ว ท่านก็บอกว่าขอพบเป็นส่วนตัว เมื่อเข้าในกุฏิท่านก็ถามว่า คุณเล่นกสิณสลับไปสลับมาจนคล่องตัวแล้วใช่ไหม ท่านบอกใช่ ท่านก็ถามว่าหลวงพ่อท่านทราบได้อย่างไร หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่าพระท่านบอกฉัน ฉันไม่ใช้กำลังใจของฉันให้เป็นประโยชน์ แต่ว่าถ้าฉันใช้ความรู้ที่ฉันมีอยู่แล้วก็เกรงว่าอุปาทานจะกิน ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะรู้ได้ก็เพราะอาศัยพระท่านคอยบอกฉัน
ตามบันทึกของท่านก็ถามว่าพระท่านว่าอย่างไรต่อไป หลวงพ่อปานก็บอกว่าใช้กสิณเป็นฤทธิ์ได้แล้ว ถ้าเล่นตามนั้นเป็นปกติ ความจริงขณะที่ท่านเล่นนั้นทิพจักขุญาณก็คอยจะปรากฏท่านก็ตัดทิ้งไป ท่านไม่เอา ท่านว่าถ้ากำลังใจยังไม่คล่องยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งนาทียังใช้ไม่ได้ เป็นอันว่าฌานทุกอย่างที่ท่านเข้าได้ทรงได้ ท่านจะเข้าภายในขณะจิตเท่านั้น ท่านคล่องถึงขนาดนี้ ก็เลยถามหลวงพ่อปานว่าเวลาจะใช้ฤทธิ์ทำอย่างไร หลวงพ่อปานท่านก็เลยบอกว่าเอาอย่างนี้ สมมติว่าจะให้หินมันอ่อนก็ตั้งใจเวลาจิตอยู่ในอุปจารสมาธิ คิดว่าหินนี้จงอ่อน แล้วก็เข้าอาโปกสิณ คือกสิณน้ำให้ถึงฌานสี่ แล้วคลายจากฌานสี่มาตั้งจิตอีกทีว่าหินจงอ่อน แล้วก็เอามือจับหินๆ มันจะอ่อน จะให้มันอ่อนขนาดไหนก็ได้ ถ้าคิดอยากจะเหาะก็คิดว่าจะต้องไปโน่น ลอยไปที่นั่นแล้วก็ลอยไป
เมื่อตั้งใจอย่างนี้แล้วก็เข้าวาโยกสิณ เข้าถึงฌานสี่ แล้วถอยหลังมาอีกทีเข้าในอุปจารสมาธิว่าเราจะลอยไปที่ตรงนั้น เข้าฌานสี่อีกทีมันจะไป เล่นอย่างนี้ให้มันคล่อง อยากจะทำอะไรก็ได้ อยากจะให้ฝนตก ก็ตั้งจิตไว้ในอุปจารสมาธิต้องการให้ฝนตก แล้วเข้าอาโปกสิณถึงฌานสี่ฝนมันก็จะตก ถ้าหากว่าจะให้แสงไปปรากฏก็เข้าเตโชกสิณ อยากจะให้มีลมมาก็เข้าอาโลกกสิณ ถ้าหากว่าที่ไหนอากาศมันน้อยก็เข้าอากาสกสิณ
ท่านบอกว่าทำตามนั้นแหละคุณ สีแดงต้องการให้มันเป็นสีเหลืองก็เข้าปีตกสิณ ถ้าของสีขาวหรืออากาศสีขาวต้องการให้มันดำมืดก็เข้านีลกสิณ ต้องการของสีอื่นให้เป็นสีขาวก็เข้าโอทาตกสิณ ถ้าความมืดมันปรากฏก็เข้าอาโลกกสิณ ถ้าหากว่าที่ไหนอากาศมันน้อยก็เข้าอากาสกสิณ ท่านบอกว่าทำตามนั้นแหละคุณแล้วมันจะได้ เป็นอันว่าในเมื่อหลวงพ่อปานท่านสั่งมาอย่างนั้น ท่านแนะนำมา ท่านกลับมาที่เรือนท่านๆ ก็ทำทุกอย่าง
เป็นอันว่ากิจทั้งหมดทำได้ท่านว่าไม่ยากเลย ท่านว่าอย่างนั้น เอาตามแบบ ต้องเข้าอุปจารสมาธิให้เข้าถึงฌานสี่ ออกฌานสี่มาตั้งอุปจารสมาธิ ในเมื่อเอาเข้าจริงๆ พอนึกปัปเข้าเลย เพราะความคล่องของการทรงฌาน และอาศัยที่ท่านได้อภิญญาสมาบัติอย่างนี้ ท่านจึงอาศัยอภิญญาสมาบัติเป็นการช่วยการปฏิบัติในด้านวิปัสสนาญาณ เพราะฉะนั้น ในการเล่นฤทธิ์ของท่านอาตมาภาพจะของดไม่อธิบาย เพราะว่าอธิบายในการเล่นฤทธิ์ของท่านอีก ๓๐ ปี ก็ไม่จบ ทั้งนี้เพราะว่าการที่ได้ใหม่ๆ ไม่ว่าอะไรทั้งหมดมันชนทุกอย่าง พิสูจน์คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่โลกันตนรกขึ้นมาจนกระทั่งถึงพรหมชั้น ๑๖ ว่ากันแบบสบายๆ ด้วยความคล่องทุกวัน ท่องเที่ยวไปตามแบบฉบับพระมหาโมคคัลลาน์ เอาแบบพระโมคคัลลานะมาบ้าง เอาประวัติพระมาลัยมาบ้าง แล้วก็ไปตามนั้น แล้วก็ไปตามได้ทุกทิศทาง ทุกที่ที่ตามประวัติมีอยู่ก็ไปให้หมดความสงสัย ในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาหมดเสียแล้วสำหรับวันนี้ เรื่องกสิณนี้ก็จะไม่ซ้ำต่อไป ต่อไปนี้จะพูดถึงเรื่องวิปัสสนาญาณที่พูดถึงไว้ เพราะไม่ต้องการให้ประวัตินี้ยาวเกินไป ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาพุทธบริษัททุกท่านพยายามทรงกำลังใจให้เป็นสมาธิ ใช้ปัญญาพิจารณาในขันธ์ห้าหรือตั้งใจตามสภาวกาลจนกว่าจะถึงเวลาสมควรของท่าน
...............................
คัดลอกจากหนังสือ ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า โดยคำสอนพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วันทาซุง จังหวัดอุทัยธานี (ลานธรรมจักร)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี