“โควิด-19 (COVID-19) คือสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” และสร้างความกังวลใจให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองไม่น้อย ดูจากผลสำรวจของสถาบันวิจัยประชากรและ
สังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่ามี 5 ความวิตกกังวลที่มาเป็นอันดับแรก คือ 1.กังวลว่าบุตรหลานไม่ได้เรียนหนังสือ 2.กลัวลูกเล่นเกม ติดมือถือมากกว่าปกติ 3.กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายประจำวัน 4.กังวลเรื่องระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing และ 5.กังวลการป้องกันการติดเชื้อ
ขณะเดียวกันวิกฤติที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ “พ่อแม่ผู้ปกครองได้อยู่กับลูกมากขึ้น” เพราะหลายคนก็ทำงานที่บ้าน เช่นเดียวกับลูกที่ยังไม่เปิดเทอมจากที่เคยโยนภาระเลี้ยงดูให้กับโรงเรียน ดังนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นชินสำหรับพ่อแม่หลายคน โดยเฉพาะ “สังคมเมืองที่ต้องทำงานนอกบ้านจนไม่มีเวลาดูแลลูกมากเท่านี้มาก่อน” ถือเป็นการปรับตัวครั้งสำคัญ เมื่อมีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น ความไม่เคยอยู่กับเด็ก ไม่เข้าใจถึงลักษณะของเด็กอย่างถ่องแท้ ยิ่งทำให้เกิดความเครียด ว่าจะต้องดูแลเลี้ยงดูอย่างไร เสพสื่ออย่างไรให้พอเหมาะและต้องทำอย่างไร
คำถามต่างๆ เหล่านี้เป็นที่มาของ “โครงการสื่อสร้างสรรค์สำหรับผู้ปกครอง เพื่อพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับโควิด-19 ของเด็กปฐมวัย” หนึ่งในโปรเจกท์พลเมืองไทยสู้ภัยวิกฤติ ที่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้การสนับสนุน เพื่อเป็นสื่อกลางให้พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานอายุ 3-5 ปี ได้เรียนรู้และเข้าใจกันและกัน พร้อมกับส่งผ่านความรู้เรื่องโควิด-19 สู่ลูกๆ ด้วย
เมื่อเร็วๆ นี้ทางโครงการสื่อสร้างสรรค์สำหรับผู้ปกครองฯ ได้จัดเสวนาออนไลน์ โดยมีนักจิตวิทยาเด็กจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง มาแลกเปลี่ยนและให้ข้อแนะนำกับพ่อแม่ใน “พ่อแม่วิถีใหม่” : รู้ทัน รู้ใจรู้รับมือ ในห้องเรียนออนไลน์” ซึ่ง “รู้ทัน” คือการทันต่อสถานการณ์โควิด-19 ในมุมมองจิตวิทยาและการศึกษา “รู้ใจ” คือผลกระทบต่อพฤติกรรมและการตอบสนองของความวิตกกังวลที่ปกติและไม่ปกติ ส่วน “รู้รับมือ” นั้นเป็นยุทธวิธีจัดการความวิตกกังวล การผ่อนคลาย และการปรับตัว
เริ่มต้นที่ รศ.ดร.มานิกา วิเศษสาธร อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เปิดเผยว่า พ่อ แม่มีผลกระทบโดยตรงต่อเด็ก ถ้าไม่ใช้ชีวิตอย่างวิตกกังวล ก็จะทำให้ใช้ชีวิตอย่างตระหนักกับสิ่งที่เข้ามาเพื่อเรียนรู้ป้องกัน นี่คือการรู้ทัน ส่วนการรู้ใจนั้น ถ้าอธิบายความกังวลเป็นเรื่องของข้างในจิตใจ ไม่มีตัวชี้วัดให้อ่านค่าได้ เมื่อคนเราเจอความไม่แน่นอนที่มาคุกคามชีวิตก็จะส่งผลกระทบต่อจิตใจ ทำให้เกิดความวิตกกังวล หากมีมากขึ้นและนานผิดปกติก็จะส่งผลต่อด้านอื่นของชีวิต ดังนั้นจึงต้องรู้สถานะใจของตัวเอง เพื่อไม่ให้เกินขีดจำกัดที่รับได้
ขณะที่ ปิยพงศ์ แซ่ตั้ง อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ให้ความเห็นว่า ความวิตกกังวลจากพ่อ แม่ส่งต่อไปถึงลูกได้ เช่น กลัวลูกจะเจ็บป่วยไปหมดกลัวเป็นโควิด ระแวงทุกเรื่อง ลูกก็จะซึมซับความเครียด ระแวงวิตกนี้ได้ ซึ่งความวิตกกังวลแม้จะไม่เป็นโรคติดต่อ แต่สามารถส่งต่อได้ พ่อแม่บางคนโวยวาย ดุโมโห ลงโทษหากลูกผิดพลาด ซึ่งอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย การทำเช่นนี้จะพัฒนาไปสู่บุคลิกภาพไม่กล้าแสดงออก ความเข้มแข็งทางใจน้อย ปรับตัวอยู่กับคนอื่นลำบาก ดังนั้นพ่อแม่ต้องยับยั้งอารมณ์ ดูว่าทำเกินเหตุ (Overaction) มากไปหรือเปล่า
“เด็กวิตกกังวลดูยากกว่าผู้ใหญ่ เขาไม่รู้อารมณ์ตัวเองว่าเขากำลังเป็นอะไร พ่อแม่จึงต้องสังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูก ซึ่งจะบ่งบอกความรู้สึกของเด็ก พ่อแม่ต้องสร้างบรรยากาศให้เด็กระบายออกมา เช่น หากิจกรรมให้เขาทำ เปิดโอกาสให้พูด แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กมากก็อาจจะให้การวาดรูปเป็นเครื่องมือ เพราะพ่อแม่ มีใจรักลูกอย่างบริสุทธิ์ ช่วยลดความวิตกกังวลให้กับลูกได้” อาจารย์ปิยพงศ์ กล่าว
เมื่อรู้ทัน รู้ใจ แล้ว มาถึงการรู้รับมือไม่ให้เกิดความวิตกกังวล โดย ณัชชามน เปรมปลื้ม อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง แนะนำให้หลัก RPP พร้อมอธิบายว่า R แรก คือ Receive Thinking การคิดตามสถานการณ์ที่เป็นจริง รับรู้ข้อมูลข่าวสารตามจริง ไม่ใส่อารมณ์ ความรู้สึก เลือกรับข่าวสารจากแหล่งน่าเชื่อถือที่มีความเชื่อมั่นในข้อมูลได้ ถ้าพูดง่ายๆ คือ อย่ามโน P หรือ Present อยู่กับปัจจุบัน ใช้ชีวิตให้กับเหมาะสมกับสถานการณ์ และ P สุดท้าย คือ Positive thinking คิดบวก ซึ่งบางคนอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่ฝึกกันได้
ทั้งนี้ การสื่อสารอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งสำคัญและเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้พ่อแม่ รู้ทัน รู้ใจ และรู้รับมือ อย่างถูกวิธี อย่างเช่นโครงการสื่อสร้างสรรค์สำหรับผู้ปกครองเพื่อพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับโควิด-19 ของเด็กปฐมวัย ซึ่งจะเป็นแหล่งข้อมูลความรู้เกี่ยวกับโควิด-19 สื่อกิจกรรมที่ช่วยพ่อแม่สามารถสื่อสารให้เด็กเข้าใจได้ง่าย ด้วยรูปแบบการสื่อสารที่เข้าใจง่าย ผ่านทางเพจเฟซบุ๊ค Fun from fam.สื่อสร้างสรรค์สำหรับผู้ปกครองเด็กปฐมวัย
ผศ.ดร.บงกช ทองเอี่ยม อาจารย์ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการ ฝากข้อคิดว่า สำหรับเด็กปฐมวัยแล้ว พ่อแม่คือคนที่สำคัญที่สุด ได้มีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น แต่บางคนก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรกับลูกบ้าง เพราะบางคนเพิ่งจะมาอยู่กับลูกในช่วงนี้ เด็กจะเสี่ยงติดโควิด-19 หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพ่อแม่ ในส่วนที่มีความรู้ไม่ค่อยน่าห่วง แต่สำหรับพ่อแม่ที่ยังลำบากแบบหาเช้ากินค่ำ ตรงนั้นเราต้องสร้างความเข้าใจ และพยายามสื่อไปให้ถึง และให้เขาเข้าใจง่าย
“โครงการนี้จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางการแนะนำกิจกรรมและวิธีดูแลเด็กปฐมวัยอย่างสร้างสรรค์ โดยอย่างแรก พ่อ แม่วิถีใหม่จะต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กปฐมวัย หากมีนักจิตวิทยามาให้คำแนะนำสอนลูกอย่างไรความกังวลใจและมีเครื่องมือ สื่อ กิจกรรมที่สามารถเอาไปใช้กับลูกได้ โดยเอาสิ่งที่มีอยู่ในบ้านมาสอนเด็ก ไม่ใช่ปล่อยให้ลูกอยู่บ้านอยู่หน้าจอมือถือผ่านไปวันๆ แล้วเกิดปัญหาระยะยาว” ผศ.ดร.บงกช กล่าว
การปลูกฝังเด็กในช่วงปฐมวัยถือเป็น “ช่วงเวลาทอง”ที่จะซึมซับพัฒนาเป็นบุคลิกภาพและติดเป็นนิสัยเมื่อเติบโต อย่างเช่นการล้างมือ ใส่หน้ากากปิดปาก-จมูก ซึ่งสังคมไทยสอนกันมานานก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ไวรัสโควิด-19แพร่ระบาดแล้ว เพราะไม่ใช่เพียงการป้องกันโควิด-19 เท่านั้น ยังรวมถึงเชื้อโรค แบคทีเรีย หรือฝุ่นละออง PM2.5 อีกด้วย ดังนั้นควรปลูกฝังลักษณะนิสัยให้เด็กทุกวัน โดยไม่ต้องคำนึงว่าโควิด-19 จะหมดไปเมื่อไหร่
แม้อาจจะเป็นเรื่องยากในการปรับตัวสำคัญครั้งนี้แต่ขอให้กำลังใจ “พ่อแม่วิถีใหม่” ให้ก้าวผ่านไปด้วยกันเพื่ออนาคตที่สดใสของแก้วตาดวงใจ!!!
สำนักงานกองทุนสนับสนุน
การสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี