เมื่อวันที่ 6 กรกฏาคม 2563 ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล และรองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat มีเนื้อหาดังนี้ "สายๆ วันหยุดอารมณ์ชิลสบาย พาเพื่อนธรณ์ไปรู้จักคุณกะท่างดีกว่า #กะท่างไทยชนิดใหม่ของโลก
กะท่าง ชื่อนี้อาจไม่คุ้นหูบางคน แต่ถ้าเป็นสายเที่ยวหรือสายเนเจอร์เลิฟๆ เป็นต้องร้องอ๋อ กะท่างเคยมีชื่อว่าจิ้งเหลนน้ำ เพราะหน้าตาคล้ายจิ้งเหลน แต่อยู่ในน้ำ แต่ระยะหลังคนเริ่มรู้จักดีขึ้น นิยมชมชอบชื่อกะท่าง จึงขอใช้คำนี้ อีกทั้งกะท่างมิใช่จิ้งเหลน จิ้งเหลนเป็นสัตว์เลื้อยคลาน กะท่างเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เป็นญาติกับคางคก
อ้าว แล้วทำไมหน้าตาเหมือนจิ้งเหลน ?
เรื่องนั้นไม่แปลกหรอกครับ คงคล้ายกับที่ผมมีรูปหน้าคล้ายกงยู ทั้งที่อยู่คนละชาติ คนไทยรู้จักกะท่างที่ดอยอินทนน์ เพราะเจ้านี่เจอเฉพาะป่าสูงน้ำใสทางภาคเหนือ และดอยอินทนนท์เป็นจุดที่คนเข้าถึงง่ายสุด
ครั้งหนึ่งที่ผมไปดอยอินทนนท์เมื่อนานมาแล้ว หลังฝนตกใหม่ๆ เคยเจอกะท่างออกมาเดินพงหญ้าริมถนน ก็เลยมาฝากบอกกันไว้ ขับรถในอุทยานระวังเหยียบสัตว์นะฮะ
ไปช้าๆ ดูธรรมชาติดีกว่า อย่าลืมว่า ป่าเป็นบ้านของลิงค่างบ่างชะนีและคุณกะท่าง เนื่องจากกะท่างอยู่ตามยอดดอยที่ไม่เชื่อมต่อกัน โอกาสที่จะเป็นชนิดใหม่ของโลกจึงมีอยู่
อาจารย์จากภาคชีวะ วิดยา จุฬา จึงพากันขึ้นเขาตามหากะท่าง เขาที่พวกอาจารย์ขึ้นไปคือภูคา จ.น่าน ซึ่งสมเหตุผลมาก เพราะเป็นคนละเทือกเขากับอินทนนท์ โอกาสเจอพันธุ์ใหม่ง่ายกว่า (ภูคาเชื่อมเทือกเขาหลวงพระบาง) แต่การไปยากลำบาก เพราะกะท่างชอบที่สูง เงียบ น้ำสะอาดใสแจ๋วสุดๆ
กลุ่มนักสำรวจจึงต้องปีนขึ้นไปถึงยอดดอยหญ้าหวาย เกือบ 1,800 เมตรจาก MSL บนนั้นมีแอ่งน้ำสวรรค์ของกะท่าง พื้นที่ 200 ตร.ม. มีก้อนหิน มีขอนไม้ล้ม ทุกอย่างเพอร์เฟ็ค ทีมสำรวจเจอกะท่างกว่า 50 ตัว อาศัยอยู่ในป่าและอยู่ใกล้ๆ แอ่งน้ำแห่งนั้น ไชโย้
ที่ต้องไชโยเพราะหลังจากจำแนกตามหลักอนุกรมวิธาน จนตีพิมพ์ลงวารสารวิชาการระดับโลก กะท่างกลุ่มนี้เป็นชนิดใหม่ของโลกครับ อาจารย์ตั้งชื่อว่า “กะท่างน้ำดอยภูคา” ตอนนี้พบอยู่ที่เดียวในไทยและในโลก
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าในลาวอาจมีสายพันธุ์นี้อยู่บ้าง โดยเฉพาะเทือกหลวงพระบางที่เชื่อมต่อกับภูคา เคยอ่านเจอว่ามีนักสำรวจฝรั่งกำลังเข้าไปตามหา แต่ป่าโดนทำลายเยอะ หวังว่าคุณกะท่างลาวคงรอด
สำหรับการอนุรักษ์คุณกะท่างในไทย เรื่องนี้คงไม่ยาก เพราะที่อยู่ชัดเจน พื้นที่ไม่ใหญ่มาก ขอเพียงกำหนดไว้ให้เป็นเขตพิเศษในอุทยาน มีการเฝ้าระวังไฟป่า/ถางป่า/ลักลอบจับ ซึ่งแต่ละอย่างก็คงเกิดยากเพราะอยู่ดอยสูงมาก และอาจมีการวิจัยต่อเนื่องเพื่อหาทางเพาะหรือเก็บรักษาพันธุ์ไว้ในกรณีฉุกเฉิน
สำหรับคำถามว่ากะท่างมีประโยชน์อะไร ?
นอกจากคำตอบทางวิชาการ เช่น เป็นดัชนีชี้วัดธรรมชาติบริสุทธิ์ ฯลฯ ผมยังมีคำตอบในทางปฏิบัติ คำตอบคือมันเท่ครับ กะท่างชนิดใหม่ของโลก บนยอดเขาสูงเสียดฟ้า โอ้ววว์
อุทยานภูคา นอกจากมีต้นไม้ชนิดเดียวของโลก เช่น ชมพูภูคา เต่าร้างยักษ์ ยังมีกะท่างสุดขอบฟ้า กะท่างน้ำภูคา เป็นชนิดใหม่และพบที่เดียวในโลกด้วยนะ ด้วยความเท่เช่นนี้ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ ต่อความรู้สึกอยากรักษาป่าเมืองน่านเพราะมันพิเศษ อยากฟื้นฟูป่าที่ถูกทำลายให้กลับมาใหม่
ยังทำให้คนอยากไปเที่ยวน่าน ไปดูศิลปวัฒนธรรม จากนั้นก็มองยอดดอยตระหง่าน พลางคิดถึงกะท่างน้อย 50 ตัวที่กำลังแช่น้ำอยู่ข้างๆ ปุยเมฆ
ความรู้สึกดีๆ แบบนี้สร้างไม่ได้ แต่เราต้องตามหาในธรรมชาติ เมื่อเจอแล้วต้องรักษาไว้ เพราะหากผิดพลั้งไป เราแก้ไขไม่ได้ มันเป็นเอกลักษณ์ เป็นของที่ธรรมชาติมอบให้คนน่านโดยเฉพาะ และมันดีมากๆ เลยต่อการท่องเที่ยวในยุคใหม่หลังโควิด ยุคที่คนจะคิดถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องของอากาศสะอาด น้ำใสแจ๋ว และกะท่างชนิดใหม่ของโลกที่เล่นน้ำอยู่บนยอดดอยครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี