“3D” เป็นคำเรียกงานที่ “สกปรก (Dirty)-อันตราย (Dangerous)-ยากลำบาก (Difficult)” ซึ่งในประเทศที่มีการพัฒนาจนเจริญก้าวหน้าพอสมควร คนท้องถิ่นมีการศึกษาสูงขึ้น เลือกประกอบอาชีพได้มากขึ้น ทำให้งานบางชนิดแม้จะมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศแต่คนท้องถิ่นมักเลือกที่จะไม่ทำ นำไปสู่การต้องจ้าง “แรงงานข้ามชาติ (หรือแรงงานต่างด้าว)” จากประเทศที่มีสถานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่าเข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาด
เมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย. 2563 ที่ผ่านมา Internews จัดเสวนาออนไลน์เรื่อง “แรงงานข้ามชาติในไทยกับการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในช่วงโควิด” ว่าด้วยชีวิตแรงงาน
ข้ามชาติในประเทศไทยในช่วง 3 เดือน ของมาตรการล็อกดาวน์ โดย สุชาติ ตระกูลหูทิพย์ ตัวแทนมูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมีพื้นที่ปฏิบัติงานในภาคเหนือของไทย เปิดเผยว่า จากการพูดคุยกับแรงงานข้ามชาติทั้งการลงพื้นที่จริงและผ่านโทรศัพท์รวมถึงช่องทางออนไลน์ ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2563 พบข้อมูลหลายอย่างที่น่าสนใจ
1.แรงงานข้ามชาติอยู่ได้เพราะของบริจาค จากชาวบ้านทั่วไปบ้าง บริษัทเอกชนบ้าง องค์กรภาคประชาสังคม(NGO) บ้าง เนื่องจากไม่มีมาตรการใดๆ ช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ 2.แรงงานข้ามชาติรายได้ลดลงนำมาซึ่งการต้องอยู่อย่างแออัดเสี่ยงโรคระบาด จากเดิมเคยอยู่ห้องใครห้องมัน เมื่อไม่มีงานไม่มีรายได้หรือยังมีแต่รายได้ลดลงเพราะช่วงเวลาทำงานลดลง บางคนก็ต้องย้ายไปอยู่รวมกับคนอื่นๆ เพื่อลดค่าใช้จ่าย เนื่องจากจะกลับประเทศก็ทำไม่ได้ง่ายๆ
3.แรงงานข้ามชาติเข้าไม่ถึงสิทธิประกันการว่างงานทั้งที่เป็นแรงงานในระบบประกันสังคม ซึ่งกลุ่มนี้มีอยู่ราว 1 ล้านคน หลายคนตกงานตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 ยื่นเรื่องไปแล้วนานนับเดือนก็ยังไม่ได้รับ 4.ขาดนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานะแรงงานข้ามชาติในสถานการณ์วิกฤติแม้จะเป็นแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมาย แต่เมื่อสถานที่ทำงานเดิมถูกสั่งปิดในช่วงล็อกดาวน์และยังกลับประเทศไม่ได้ แรงงานกลุ่มนี้หากไปหางานอื่นทำเพื่อหารายได้ยังชีพก็ยังเสี่ยงถูกจับกุมดำเนินคดีฐานทำงานผิดประเภท ผิดสถานที่หรือผิดนายจ้าง
“แรงงานข้ามชาติในยุคโควิดเหมือนเราเห็นว่ามีปัญหามาก แต่จริงๆ แล้วแรงงานข้ามชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย ปัญหามันสะสมมาค่อนข้างยาวนาน มันเหมือนกับเขาเองถูกมองว่ามีตัวตนในฐานะที่เป็นแรงงาน ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งมักจะถูกละเลย เรื่องของการปฏิบัติตามสิทธิ์ตามกฎหมายต่างๆ มักจะถูกละเลยเช่นกัน การออกมาตรการต่างๆ มาซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงไม่สอดคล้องกับการที่จะทำให้แรงงานข้ามชาติเหล่านั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ให้สมกับที่เขามาสร้างประโยชน์ให้ประเทศไทย” สุชาติ กล่าว
ตัวแทนมูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ ยังกล่าวอีกว่า “มีการจ้างงานบางประเภทที่ทำให้แรงงานข้ามชาติไม่สามารถเข้าถึงสิทธิที่แรงงานพึงมีพึงได้” เช่น การจ้างงานโดยทำสัญญาทุกๆ 3 เดือน ทั้งที่ในความเป็นจริงคนงานทำงานอยู่ในสถานประกอบการต่อเนื่องตลอดทั้งปี แต่เมื่อสัญญาจ้างไม่ใช่สัญญาต่อเนื่องในลักษณะพนักงานประจำ จึงไม่เข้าเงื่อนไขที่จะเข้าสู่ระบบประกันสังคม เป็นต้น
ด้าน อดิศร เกิดมงคล ตัวแทนเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ กล่าวว่า แรงงานข้ามชาติ 4 สัญชาติ(เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม) แบ่งได้ 3 ประเภท 1.กลุ่ม MOU พิเศษ (หรือกลุ่มพิสูจน์สัญชาติเดิม) เข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมาย แต่ทางการไทยมีนโยบายผ่อนผันให้ทำงานได้ไม่เกิน 2 ปี กลุ่มนี้มีประมาณ 1.2 ล้านคน 2.กลุ่ม MOU นำเข้า เข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมายภายใต้ข้อตกลงของประเทศต้นทางกับปลายทาง กลุ่มนี้มีประมาณ 1 ล้านคน ทำงานได้ไม่เกิน 4 ปีแล้วต้องกลับประเทศ
และ 3.กลุ่มจ้างงานชายแดน ข้ามฝั่งเข้ามาทำงานในประเทศไทยแบบมาเช้ากลับเย็น หรือมาเฉพาะตามฤดูกาล สัญญาจ้างมักทำกันครั้งละไม่เกิน 3 เดือน กลุ่มนี้มีประมาณ 2.3 หมื่นคน “แรงงานข้ามชาติอยู่ในกลุ่มงานก่อสร้างมากที่สุด” รองลงมาคืองานบริการและภาคเกษตร “กรุงเทพฯ มีจำนวนแรงงานข้ามชาติมากที่สุด ในขณะที่สมุทรสาคร มีแรงงานข้ามชาติอยู่กันแบบหนาแน่นที่สุด”ทั้งนี้ มาตรการล็อกดาวน์ในไทย และปิดพรมแดนทั้งไทยและประเทศต้นทาง ทำให้แรงงานข้ามชาติไม่รู้จะทำอย่างไร อยู่เมืองไทยไม่มีงานและรายได้ ครั้นจะกลับบ้านเกิดด่านก็ปิดอีก
อดิศร กล่าวต่อไปว่า “งานบางประเภททำให้แรงงานข้ามชาติเข้าไม่ถึงระบบประกันสังคม” เช่น งานเกษตร ประมง คนรับใช้ในบ้าน “และแม้จะเป็นแรงงานในระบบประกันสังคมก็ยังมีข้อจำกัด” อาทิ นายจ้างไม่แจ้งปิดกิจการชั่วคราวทำให้ไม่สามารถขอรับสิทธิประโยชน์ว่างงานได้ หรือการกรอกเอกสารทางออนไลน์ที่ระบบทำไว้ดีจริงแต่มีเพียงภาษาไทยกับอังกฤษเท่านั้น แต่จะไปแจ้งที่สำนักงานประกันสังคมก็ลำบากอีก เพราะในช่วงล็อกดาวน์มีเจ้าหน้าที่ลดลงเนื่องจากบางส่วนถูกสั่งให้ทำงานที่บ้าน หรือบางพื้นที่ก็ปิดกั้นห้ามคนเข้า-ออก เช่น จ.ภูเก็ต
หรือบางบริษัทนายจ้างแจ้งปิดกิจการด้วยสาเหตุอื่น ทำให้ไม่สามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคมได้ แต่ก็ไม่ได้แนะนำว่าให้ไปใช้สิทธิ์ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน “การเลิกจ้างยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง” ไม่ว่าแรงงานไทยหรือแรงงานข้ามชาติ “ที่น่าห่วงคือธุรกิจก่อสร้าง” หากได้รับผลกระทบอย่างหนักย่อมลำบากไปถึงแรงงานข้ามชาติที่อยู่ในภาคส่วนนี้ จำนวนมากด้วย ซึ่งพบว่าไตรมาสหลังๆ ของปี 2563 จำนวนการขออนุญาตก่อสร้างลดลง
“ผลกระทบที่เกิดจากการปิดชายแดนและมาตรการผ่อนผันของรัฐ เรื่องแรกที่เราเจอคือกลุ่มที่ทำงานในประเทศแนวทางไม่ชัดเจน มีความเสี่ยงหลุดระบบ กลุ่มที่ครบ 4 ปียังรอความชัดเจนเรื่องเดินทางออก ตอนนี้กระทรวงแรงงานก็ยังรอว่ารัฐบาลจะขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่ออีกไหม ถ้าประกาศขยายต่อก็ยืดเวลาต่อให้ มันก็กลายเป็นงานรายวันรายเดือนไป ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะขยายให้ยาวหรือสั้นอย่างไร กลุ่มที่รอเข้ามาใหม่ค้างอยู่ที่ชายแดนยังไม่มีทิศทางที่จะนำเข้า
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่เราเจอมากขึ้นก็คือผลกระทบเรื่องการย้ายถิ่น เราพบว่ามีแรงงานจำนวนมากซึ่งถึงจังหวะนี้มันจะเริ่มอยู่ไม่ได้แล้ว คือจะอยู่ประเทศต้นทางต่อก็ไม่ไหวเพราะรายได้ก็ไม่มี ก็เริ่มทยอยแอบลักลอบเดินทางข้ามเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติ ซึ่งข้อกังวลใจของเรา พอมันเป็นแบบนี้ก็มี 2 เรื่อง น่าห่วง 1.กระบวนการคัดกรองโรคของแรงงานข้ามชาติจะไม่เกิดเพราะทุกคนจะลักลอบเข้ามาหมด ไม่มีมาตรการกักตัวตรวจโรค 2.มันมีความเสี่ยงที่แรงงานกลุ่มนี้จะกลายเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ถูกค้ามนุษย์เข้ามาได้ง่ายมากขึ้น” อดิศร ระบุ
อนึ่ง ยังมีความเชื่อที่ว่า “ถ้าไม่มีแรงงานข้ามชาติก็ยังมีคนไทยทำงาน” ทั้งที่ในความเป็นจริง “งานบางประเภทอย่างไรคนไทยก็ไม่ทำ” เช่น ประมง อุตสาหกรรมอาหารทะเล แรงงานในภาคเกษตร ก่อสร้าง แต่หากไม่หลุดพ้นจากความเชื่อข้างต้น การวางนโยบายด้านแรงงานก็จะยังคงไม่ชัดเจนและปัญหาก็ยังคงมีต่อไป และผลกระทบข้างต้นไม่เพียงแต่เฉพาะตัวแรงงานข้ามชาติเท่านั้น แม้แต่ผู้ประกอบการก็เดือดร้อนไปด้วยเพราะหาคนทำงานไม่ได้
หรือพูดง่ายๆ..วันใดขาดเขา (แรงงานข้ามชาติ) เรา (คนไทย) จะรู้สึก!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี