ยังคงต้องติดตามกันต่อไปกับกรณี “ฉาวกระฉ่อนโลก” เมื่อสื่อต่างชาติเปิดรายงานข่าว “ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังเจ้าดังในประเทศไทยถูกถอนหมายจับของตำรวจสากลในคดีขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อน” ทำให้คดีนี้กลับมาได้รับความสนใจในสังคมไทยอีกครั้งโดยเฉพาะปริศนาที่ว่า “ทำไมตำรวจและอัยการไม่สั่งฟ้อง”รวมถึงพยานใหม่ 2 คน ที่เพิ่งปรากฏตัวหลังเกิดเหตุไปแล้วหลายปี
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2563 ที่ผ่านมา นิโรธ สุนทรเลขา สส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึง
การเรียกผู้แทนฝ่ายตำรวจ ประกอบด้วย พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สมชาย พัชรอินโตผบช.สำนักงานกฎหมายและคดี มาชี้แจงว่าเหตุใดจึงไม่แย้งกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องทายาทเครื่องดื่มชูกำลังรายนี้โดยตัวแทนฝ่ายตำรวจให้ข้อมูลไว้น่าสนใจ 3 ประเด็น
1.การตรวจสอบว่าเมาแล้วขับหรือไม่ เรื่องนี้ไม่สามารถทำได้เพราะตามกฎหมายระบุว่า การจะนำคดีตรวจสอบแอลกอฮอล์สู่ศาลได้ ต้องตรวจวัดทันทีหลังเกิดเหตุแต่ในวันเกิดเหตุผู้ต้องหาขับรถหลบหนีเข้าบ้าน ตำรวจทำได้เพียงล้อมบ้านไว้ กว่าจะได้หมายศาลไปตรวจค้นบ้าน นำตัวผู้ต้องหาไปตรวจแอลกอฮอล์ ก็เป็นเวลา 16.00 น.ทิ้งเวลาจากตอนเกิดเหตุถึง 10 ชั่วโมง
2.การตรวจสอบว่าขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ เรื่องนี้มีความเห็นแย้งในเชิงเทคนิคจากผู้เชี่ยวชาญของ 3 หน่วยงาน คือ กองพิสูจน์หลักฐานใช้หลักฟิสิกส์ ดูหลักการปะทะจะมีความเร็ว ความแรงแค่ไหน ผลเบื้องต้นพบ น่าจะมีความเร็วเกิน 80 กม./ชม. ส่วนอาจารย์จากมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ใช้หลักวิศวกรคำนวณจากกล้องวงจรปิด พบความเร็วอยู่ที่80 กม./ชม. และอาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใช้หลักวิศวกร คำนวณจากกล้องวงจรปิดเช่นกัน พบความเร็ว 177 กม./ชม.
เมื่อข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญความเร็วต่างกัน อัยการจึงเชิญกองพิสูจน์หลักฐานและอาจารย์จุฬาฯ มาให้ข้อมูลอีกครั้งซึ่งทั้ง 2 หน่วยงาน ยอมรับว่าน่าจะคำนวณความเร็วผิดพลาดเพราะไม่ได้หักลบค่าเลนส์ที่กล้อง อัยการจึงเห็นว่า ควรหาประจักษ์พยานเพิ่มเติม นำไปสู่การมีพยานบุคคลเพิ่มมาอีก 2 ราย ที่อัยการให้ตำรวจไปสอบเพิ่มเติม เพราะก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาขอให้ตำรวจสอบพยานรายนี้
แต่ตำรวจบอกว่า ทำสำนวนเสร็จแล้วถ้าจะให้สอบเพิ่มให้ไปร้องขอความเป็นธรรมจากอัยการ ในที่สุดอัยการสั่งให้สอบพยานรายนี้เพิ่มเติม จนนำไปสู่ประเด็นข่าวดังกล่าว ขณะที่ ณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ สส.สงขลา พรรคภูมิใจไทย ในฐานะโฆษก กมธ.ตำรวจ กล่าวเสริมในอีกประเด็นคือ 3.สารเสพติดที่พบในร่างกายผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนให้ข้อมูลว่า ได้รับการยืนยันจาก หมอฟันว่าสารที่ตรวจพบในร่างกาย ว่าเป็นยาที่ให้ผู้ต้องหาในการรักษาฟันที่มีส่วนผสมของสารโคเคนอยู่ ทำให้ไม่สั่งฟ้องเรื่องสารเสพติด
นั่นคือเรื่องของคดีดังที่ต้องติดตามกันต่อไปว่าจะสามารถรื้อขึ้นมาได้อีกหรือไม่ หรือจะจบไปแบบคาใจสังคมไทยแต่สำหรับมุมมองของนักวิชาการที่ติดตามสถานการณ์อุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศไทยมานานอย่าง นพ.ธนะพงศ์จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน(ศวปถ.) ให้ความเห็นในภาพรวมว่า 1.ควรเพิ่มโทษความผิดฐานชนแล้วหนีให้ใกล้เคียงความผิดฐานเมาแล้วขับ ซึ่งที่ผ่านมามีหลายกรณีที่เมื่อเกิดเหตุยานพาหนะเฉี่ยวชนกันบนท้องถนน ผู้ก่อเหตุมักหลบหนีจากที่เกิดเหตุไปก่อนแล้วค่อยกลับมามอบตัวในภายหลัง
แต่การกระทำดังกล่าวอาจทำให้หลักฐานบางอย่างหายไป เช่น กรณีเมาแล้วขับ แม้ผู้ขับขี่จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก่อนและขณะเกิดเหตุมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือมากกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แต่ทุกๆ 1 ชั่วโมง ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจะหายไป 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ โอกาสเอาผิดฐานเมาแล้วขับย่อมทำได้ยากขึ้น ส่วนสารเสพติดอื่นๆ อาจจะอยู่ได้นานกว่านั้น
โดยความผิดฐานชนแล้วหนี ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกพ.ศ.2522 มาตรา 78 ประกอบมาตรา 160 ระบุว่า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท และหากการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78เป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับอันตรายสาหัส หรือตาย ผู้ไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะที่ มาตรา 43 (2) ประกอบ มาตรา 160 ตรีว่าด้วยความผิดฐานขับรถขณะเมาสุรา ระบุว่า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าหกเดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ และหากการเมาแล้วขับทำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย โทษก็จะหนักขึ้นไปอีกตามระดับอันตราย ตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บ บาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิต
2.กรณีอุบัติเหตุรุนแรง ซึ่งหมายถึงมีผู้บาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต ควรกำหนดให้การขอตรวจหาแอลกอฮอล์และสารเสพติดของคู่กรณีเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131/1 ในปัจจุบันกำหนดไว้แต่เพียงให้เป็นอำนาจเท่านั้น โดยพนักงานสอบสวนยังสามารถใช้ดุลพินิจได้ว่าจะประสานให้แพทย์ตรวจหรือไม่
แต่หากกำหนดให้เป็นหน้าที่ด้วย พนักงานสอบสวนย่อมต้องประสานให้ตรวจทุกรายที่เข้าข่ายอุบัติเหตุรุนแรงข้างต้นเพราะหากไม่ตรวจ ญาติของผู้เสียหายย่อมสามารถแจ้งความเอาผิดพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งจะทำให้ข้อเท็จจริงตามหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์มีความชัดเจนขึ้น
และ 3.พนักงานสอบสวนต้องได้รับการฝึกอบรมให้เข้าใจการทำคดีขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และต้องได้รับการสนับสนุนเครื่องมือที่จำเป็นด้วย โดยสามารถตรวจสอบได้จาก 4 อย่าง คือ รอยล้อหรือรอยเบรกการยุบของตัวรถ การคำนวณจากคลิปวีดีโอที่กล้องวงจรปิดบันทึกไว้ และอุปกรณ์บันทึกความเร็วสุดท้ายของรถก่อนเกิดการชน (Event Data Recorder : EDR) ซึ่งมีการติดตั้งในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ
“ผมอยากเห็นบ้านเรา อุบัติเหตุจราจรจะ VIP หรือไม่VIP โดยเฉพาะ VIP มันต้องทำให้สังคมรับรู้การทำคดีอิงหลักวิทยาศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา และมันควรจะเกิดกับทุกคดีด้วย โดยเฉพาะคดีเมาแล้วขับ คดีเสพสารเสพติด หรือคดีที่ใช้ความเร็วสูง มันต้องอิงหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งตรงนี้ต้องโยนกลับมาให้สถาบันที่พัฒนาพนักงานสอบสวน หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาจจะต้องยกเครื่องหรือทบทวนที่จะปรับปรุงกระบวนการพิสูจน์คดีจราจร มันมีความเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่านี้” นพ.ธนะพงศ์ กล่าวในท้ายที่สุด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี