พระมหาสุชาติ สิริปัญญโญ นำทีมชาวบ้านเข้าดำเนินการรื้อกำแพงโบสถ์กลางน้ำ เพื่อดำเนินการซ่อมแซมให้กลับมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว UNSEEN THAILAND คู่เมืองสังขละบุรี
วันที่ 2 สิงหาคม 2563 ที่บริเวณวัดจมน้ำ หรือ เมืองบาดาล ซึ่งเป็นวัดวังก์วิเวการามหลังเก่า เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี และเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวอันซีนไทยแลนด์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ซึ่งวัดแห่งนี้เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกับชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญ ได้ช่วยกันนำเครื่องมือมาสะกัดกำแพงโบสถ์จมน้ำของวัดที่ถูกกระแสลมและคลื่นจากเรือนำเที่ยวพัดพังเสียหายเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2561 เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการก่อสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง
ทั้งนี้ช่วงนี้เป็นช่วงที่น้ำในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนวชิราลงกรณ ลดลงจนสามารถลงไปเดินได้ จึงนับว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะในการซ่อมแซม อีกทั้งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีการซ่อมแซมจะทำให้กำแพงอุโบสถ ในส่วนที่เหลืออาจได้รับความเสียหายจนยากแก่การบูรณะซ่อมแซม โดยกำแพงที่ต้องซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ในครั้งนี้มีความยาวประมาณ 15 เมตร สูง 10 เมตร โดยยังคงใช้วัสดุที่เป็นอิฐมอญในการก่อสร้างเหมือนเดิม โดยก่อนหน้านี้ทางกรมศิลปากร ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญลงดูพื้นที่พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการซ่อมแซมอุโบสถ แก่พระมหาสุชาติ และคณะกรรมการวัดวังวิเวการาม เพื่อเป็นแนวทางในการทำงาน
ในส่วนของการบูรณะซ่อมแซมทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแล ของพระมหาสุชาติ สิริปัญโญ และคณะกรรมการวัด ส่วนงบประมาณในการก่อสร้างเป็นเงินของวัดส่วนหนึ่ง ในส่วนที่เหลือจะเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมในการทำบุญ เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ในการก่อสร้าง เช่น อิฐมอญ หิน ทราย เหล็ก ปูนซีเมนต์ โดยชาวบ้านออกแรงช่วยการในการดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าใช้เวลาประมาณ 2 เดือนจึงจะแล้วเสร็จ ทั้งนี้ประชาชนและผู้ที่ต้องการร่วมทำบุญในการซ่อมแซมดบสถ์เก่าวัดจมน้ำ สามารถติดต่อได้โดยตรงที่พระมหาสุชาติ สิริปัญโญ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวาการาม
ทั้งนี้โบสถ์หลังดังกล่าว ก่อสร้างขึ้นในปี 2479 พร้อมวัดวังก์วิเวการาม เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระหยกขาว พระพุทธรูปสำคัญของวัด โดยพระราชอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ ) อดีตเจ้าอาวาส พระเกจิชื่อดังของชาวไทยเชื้อสายมอญ ที่เป็นที่เคารพนับถือของชาวมอญในประเทศไทยและประเทศพม่า โดยการก่อสร้างเกิดจากความร่วมมือของชาวอำเภอสังขละบุรี ทั้งคนไทย คนกะเหรี่ยง และคนมอญในสมัยนั้น โดยหลวงพ่ออุตตมะเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างด้วยตัวเอง โดยใช้วัสดุที่มีอยู่ในพื้นที่ เช่น หินทราย จากริมแม่น้ำแควน้อย
ต่อมาในปี 2527 ภายหลัง กฟผ 1 ได้ทำการปิดเขื่อนเขาแหลม (เขื่อนวชิราลงกรณ) ทำให้น้ำท่วม จึงได้มีการย้ายชุมชนและวัด ขึ้นมาอยู่ในสถานที่ปัจจุบัน ด้วยความงดงามของวัดที่ตั้งอยู่กลางน้ำและความไม่เหมือนใคร ทำให้ในเวลาต่อมาการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ยกให้วัดจมน้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว UNSEEN THAILAND โดยในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวนั่งเรือมาท่องเที่ยวและชมความงดงามและแปลก ของโบสถ์แห่งนี้จำนวนหลายแสนคน
กระทั่งเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2561 กำแพงโบสถ์ได้ถูกกระแสลมแรงและกระคลื่นจากเรือนำเที่ยว พัดจนผนังด้านทิศเหนือของโบสถ์แห่งนี้ได้พังลงมา โดยเบื้องต้นมีความยาวเพียง 5-7 เมตร ทางพระมหาสุชาติฯ ได้พาชาวบ้านนำไม้ไผ่มาผูกเพื่อยึดผนังโบสถ์ในส่วนอื่น เพื่อป้องกันการพังเพิ่มขึ้นและรอการซ่อมแซมในช่วงที่น้ำลด เพื่อรักษาและอนุรักษ์สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของอำเภอสังขละบุรี ให้อยู่คู่ชุมชนชาวมอญสังขละบุรีต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี