ประเทศไทยในเวลานี้สำหรับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ถือว่าควบคุมโรคระบาดได้ดีแม้จะมีบางช่วงที่มีข่าวให้ได้หวาดเสียวว่ามีกลุ่มเสี่ยงหลุดจากพื้นที่กักกันออกไปสู่ภายนอกแต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นถึงกระนั้นในด้านเศรษฐกิจยังคงต้องดิ้นรนต่อสู้กันอีกยาวเนื่องจากที่ผ่านมาสังคมไทยพึ่งพารายได้จำนวนมากจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตราบใดที่ยังไม่มีการเปิดประเทศย่อมเป็นเรื่องยากที่เศรษฐกิจจะฟื้น แต่ครั้นจะเปิดก็ยังต้องระวังการระบาดระลอก 2
เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานสนทนา (ออนไลน์) ทางนโยบายว่าด้วยความเหลื่อมล้ำ (Policy Dialogue) ครั้งที่ 1 หัวข้อ “หยุดโรค ไม่หยุดโลก?” ถอดบทเรียนสิ่งที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. 2563 เมื่อรัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินและใช้มาตรการล็อกดาวน์ปิดกิจการต่างๆ เกือบหมดเพื่อตัดวงจรการระบาด ก่อนจะมีการทยอยอนุญาตให้กลับมาเปิดได้เป็นระยะตามลำดับจนปัจจุบันที่เปิดได้ทุกกิจการแล้ว เหลือเพียงการเปิดประเทศรับชาวต่างชาติเท่านั้น
นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการทรวงสาธารณสุข ตั้งข้อสังเกตไว้ 6 เรื่อง คือ 1.กลไกนโยบายที่มองภาพรวมอย่างมีสมดุลและมีส่วนรวม สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ “เรื่องเศรษฐกิจและสุขภาพ” ซึ่งทุกภาคส่วนพยายามควบคุมโรคไม่ให้แพร่ระบาด แต่ในปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายจึงทำให้เศรษฐกิจในประเทศเริ่มฟื้นตัวมากขึ้น แต่ก็อาจทำให้โรคกลับมาระบาดได้เช่นกัน จึงจำเป็นต้องหาจุดที่ลงตัวทั้งสองด้านเพื่อให้ไม่ได้รับผลกระทบ
2.กลไกฐานรากและการกระจายอำนาจ เพื่อการพัฒนาและดูแลประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ หากท้องถิ่นเข้มแข็งจะช่วยชาวบ้านเป็นอย่างมาก เห็นได้จากบทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) ไม่ได้ให้เพียงแค่ความรู้เท่านั้น แต่เป็นการทำให้คนที่ลำบากได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ซึ่งชุมชนที่เข็มแข็งจะเห็นได้จากหน่วยงานในชุมชนเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด จึงทำให้ชาวบ้านรู้สึกปลอดภัย
3.ระบบสวัสดิการสังคม หากมีระบบสวัสดิการดีการใช้ระบบอัดฉีดเงินอย่างเร่งด่วนจะมีความสำคัญน้อย เพราะมีระบบเก็บเงินสำรองอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเรื่องการตัดงบประมาณมาใช้ 4.ระบบสุขภาพ จะต้องมีการจัดระบบใหม่ หากมองด้านความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 มีความชัดเจนอย่างมาก ทำให้ลดความสำคัญในการดูแลรักษา
5.โครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ปกติประเทศไทยเศรษฐกิจจะผูกกับการท่องเที่ยวเป็นหลัก ซึ่งสถานการณ์การแพร่กระจายของโควิด-19 จึงทำให้เศรษฐกิจของไทยไม่ดี จึงเป็นต้องหาทางแก้ปัญหาใหม่ และ 6.การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งในทุกภาคส่วนจำเป็นต้องใช้ เพื่อลดการติดเชื้อจากโควิด-19 ซึ่งจะทำอย่างไรให้ชาวบ้านได้เข้าถึงอินเตอร์เนต เพื่อใช้โครงสร้างพวกนี้เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจ
ผศ.ดร.ปิยะพงษ์ บุษบงก์ นักวิชาการสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ได้ทำให้เห็นถึงว่ามนุษย์คงต้องอยู่กับโรคนี้ไปอีกนาน จึงจำเป็นต้องใช้ชุดความรู้ที่หลากหลายมากกว่าเครื่องมือการวิเคราะห์ โดยจะถูกพัฒนามากขึ้นกว่าปกติ ซึ่งจำเป็นต้องนึกถึงความสัมพันธ์แบบใหม่ระหว่าง นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ และประชาชนซึ่งผ่านไปเป็นระยะเวลา 9 เดือน ที่เชื้อไวรัสโควิด-19 ได้แพร่กระจายทั่วโลก จึงจำเป็นต้องประเมินนโยบายในการทำงานใหม่ เพื่อให้เห็นบทเรียนที่จะก้าวเดินต่อไป
และการหาจุดกลางของความลงตัวของนโยบายก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ซึ่งนโยบายหลักที่มีความย้อนแย้งกันอยู่ มี 4 ประเด็น ที่จะต้องหาความลงตัวได้แก่ 1.ความมั่นคงปลอดภัย โดยจะไปลดทอนสิทธิเสรีภาพในการดำเนินชีวิตของประชาชน จึงจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เห็นได้จากไทยได้มุ่งเน้นเรื่องความมั่นคงปลอดภัย แต่ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องสิทธิเสรีภาพเท่าที่ควร
2.ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ เห็นได้จาก GDP ในประเทศลดต่ำลง จึงทำให้ต้องหนุนเกิดบรรษัทขนาดใหญ่ เพื่อพยุงประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจในประเทศให้ดีขึ้น แต่เรื่องเศรษฐกิจจะขัดแย้งกับเรื่องความเป็นธรรมเสมอ จึงจำเป็นต้องหาจุดที่ลงตัวใหม่ และให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการขนาดเล็กด้วย และ 3.นโยบายใหม่ๆ ในศตวรรษที่ 21 โดยไม่มุ่งเน้นเป้าหมายเชิงรูปธรรมเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องทำให้ประชาชนมีความหวังที่จะดำเนินชีวิตต่อได้
เตือนใจ ดีเทศน์ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า แม้รัฐบาลมีนโยบายช่วยเหลือในสถานการณ์โควิด-19 แต่ไม่ครบทุกกลุ่มเพราะต้องเป็นคนที่ประวัติในทะเบียนราษฎร ทำให้คนไร้สัญชาติที่อยู่ในไทยมานานเข้าไม่ถึง ซึ่งนโยบายจำเป็นต้องครอบคลุมในทุกด้าน เช่น สุขภาพจิต สุขภาพกาย สิ่งแวดล้อม และแม้ประเทศไทยมีปัญหาเยอะแต่ยังมีนักวิชาการที่เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี และมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่เก่งเรื่องทางเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ที่จะแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ การรวมกลุ่มกันเพื่อแก้ปัญหาในชุมชนก็สำคัญเช่นกัน
วงอร พัวพันสวัสดิ์ อาจารย์ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งข้อสังเกตไว้2 ประเด็น คือ 1.สมดุลระหว่างสุขภาพกับเสรีภาพ หลังจากที่รัฐบาลควบคุมโรคได้แล้วจะทำอย่างไรให้ประชาชนได้ใช้เสรีภาพได้มากขึ้น กับ 2.นโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจยังไม่ถึงฐานราก ที่ผ่านมารัฐบาลได้มุ่งเน้นเป้าหมายไปกลุ่มคนชั้นกลางและกลุ่มคนชั้นสูง ไม่ได้มองไปที่กลุ่มคนชั้นล่างของประเทศ
เห็นได้จากจากมาตรการที่รัฐบาลได้ใช้ เช่น มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว เป็นต้น กลุ่มใช้แรงงานซึ่งเป็นหัวใจหลักของประเทศยังประสบปัญหาทุกข์ยากลำบากเป็นอย่างมาก นอกจากนี้แล้วภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มคนชั้นล่าง แล้วไม่สามารถหาทางออกได้ ส่งผลให้มีอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น เห็นได้จากข่าวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ยิ่งสะท้อนภาพความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจนขึ้น
สุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวถึงความเหลื่อมล้ำด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การลงทะเบียนเพื่อรับเงินเยียวยาจากรัฐบาลผ่านระบบออนไลน์ ก็มีทั้งคนที่เข้าถึงและเข้าไม่ถึงอินเตอร์เนต ทำให้ขาดโอกาสเข้าถึงสิทธิที่พึงมีพึงได้ ดังนั้นจะทำอย่างให้อินเตอร์เนตเป็นบริการขั้นพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่เข้าถึง
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี