สถานการณ์ไทยในปัจจุบันนี้ประเทศไทยต้องพบเจอปัญหาที่เปรียบเสมือนบทท้าทายของชีวิตอีกอย่างหนึ่ง ในช่วงนี้คนวัยทำงานอาจจะท้อแท้หมดหวังกับงานที่กำลังทำอยู่ แต่กลับมีชีวิตเล็กๆ ที่กำลังรอการเติบโตอย่างเต็มที่ และรอการอบรมสั่งสอนโตไปเป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม
ส่วนผู้ที่คอยอบรมมอบวิชาความรู้ให้ก็คงไม่พ้นอาชีพ “ครู” แต่ช่วงไม่นานมานี้มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงยิ่งหนัก โดยกระแสที่ว่า “ครูใช้ความรุนแรงกับนักเรียนอนุบาล” เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นยิ่งทำให้ผู้ปกครองไม่ไว้ใจกับครูและทางโรงเรียน และผู้ที่มีอำนาจและตัดสินใจกับเหตุการณ์นี้อย่างไรเพื่อพบทางออกที่ดีที่สุด
การกระทำความรุนแรงต่อเด็กนั้นสามารถเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น ความรุนแรงทางร่างกาย ความรุนแรงทางอารมณ์และจิตใจ รวมถึงการบังคับล่อลวงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ วันนี้ “ทีมข่าวเฉพาะกิจแนวหน้าออนไลน์” ได้ไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด กับประเด็น “ความรุนแรงระหว่างครูกับเด็กนักเรียนอนุบาล” ผ่าน “ปวีนา สิงห์ชาติ” หรือ “กีต้า” นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ดาวคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ปี 2562
“ปวีนา สิงห์ชาติ” เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ตนไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงต่อเด็กในโรงเรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากเด็กวัยอนุบาลนั้นเป็นวัยที่กำลังเติบโตและเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใหญ่ เด็กควรจะได้รับพฤติกรรมที่ดีจากผู้ใหญ่และผู้ใหญ่ควรเป็นแบบอย่างที่ดี เมื่อโตไปเขาจะสามารถเป็นคนดีในสังคมได้ หากเขาซึมซับพฤติกรรมที่ไม่ดีหรือการพูดจาที่รุนแรงไม่ใช่แค่การกระทำ ถ้าโตไปแล้วเขาได้ซึมซับในพฤติกรรมแบบนี้ เขาอาจจะคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ อาจจะทำสิ่งที่ผิดไปเรื่อย ๆ ฉะนั้นเราทุกคนควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็ก ๆได้เรียนรู้พฤติกรรมที่ดีอยู่เสมอ
“ปวีนา สิงห์ชาติ” ให้เหตุผลอีกว่า การใช้ความรุนแรงจากคนใกล้ชิดนั้นเป็นสาเหตุก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมาอย่างแน่นอนและอาจจะไม่ใช่แค่คนใกล้ชิดอย่างเดียว เพราะการที่เราอยู่กับคนใกล้ชิดเราหรือใครก็ตามที่ต้องอยู่ร่วมกันเจอกันทุกวัน ถ้าหากใครคนหนึ่งพูดไม่สุภาพเราหรือเด็กก็อาจจะติดเป็นนิสัยเราได้ไม่ช้าก็เร็ว และในมุมมองของบทลงโทษในส่วนความคิดเห็นส่วนตัวของตนคิดว่าการโดนสั่งให้พักงานนั้นไม่ใช่ทางออก เราควรจะปรับพฤติกรรมเขา อบรมพฤติกรรม ทำให้เขารับรู้ว่าการกระทำแบบนี้ไม่เหมาะสมและไม่ควรที่จะทำต่อเด็ก
ทั้งนี้ ในยุคนี้มีสื่อโซเชียลเข้ามา หากมีหลานหรือน้องดูสื่อที่มีความรุนแรง อาทิเช่น เกมส์ต่อสู้ที่มักใช้ความรุนแรง มันก็สามารถมีผลต่อเด็ก และที่สำคัญถ้าเขาเล่นโทรศัพท์เราก็ควรแบ่งเวลาและควบคุมเข้าอย่างใกล้ชิดและดูความเหมาะสมของเนื้อหาของสื่อว่าเหมาะแก่การรับชมไหม ค่อยๆสอนเขาจากพฤติกรรมของเราและจึงจะเกิดการซึมซับไปในตัวของเขาเองดีกว่าการที่เราพูดเฉยๆโดยที่ไม่ทำอะไรเลย
“อันดับแรกต้องเริ่มจากตัวเราก่อน เราควรทำพฤติกรรมที่ดีต่อกันยิ้มให้กันถ้าหากเราไม่อยากให้เขาทำไมดีใส่ เราก็ไม่ควรทำสิ่งไม่ดีใส่เขา หากเป็นในคนใกล้ตัวเรานั้น เราอาจจะไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้เพียงแค่ทำพฤติกรรมที่ดีให้เขาดูและเขาก็จะซึมซับไปเอง” น้องกีตาร์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ถ้ายังเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก “ประเทศไทยควรมีแนวทางการแก้ไขที่กว้างขึ้นและใหญ่ขึ้น อาจจะเริ่มจากตัวเรานั้นอาจจะเป็นแกนนำก่อนทั้งตัวเราและคนใกล้ชิดเพื่อที่เป็นกระบองเสียงให้กับสังคม อีกทั้งการจัดการรณรงค์ การอบรม ช่วยลดการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก ซึ่งตนนั้นเป็นดาวคณะอาจจะออกมาโพสต์บนสื่อโซเชียลในส่วนนี้อาจจะเป็นกระบอกเสียงส่วนหนึ่งให้สังคมได้รับรู้”
สุดท้ายนี้ ฝากไปถึงผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ ควรออกมากระตุ้นหรือจัดการรณรงค์หรือการจัดทำโครงการที่สามารถจัดได้ทั่วทุกพื้นที่ทุกจังหวัด ได้รับรู้โดยทั่วกันมากกว่าการที่เราทำอยู่จุดเดียวและสื่อก็จะไม่กระจายไปไหนได้มาก จึงอยากให้ทุกๆคนในประเทศนั้นตระหนักถึงสิ่งสำคัญผลกระทบของการใช้ความรุนแรงต่อเด็กให้ได้มากที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี