เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 เฟซบุ๊กแฟนเพจ “ThaiRAP” หรือ Thailand Road Assessment Programme เผยแพร่บทความประกอบภาพ หัวข้อ “ทำไมเราต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงกับสี่แยกวัดใจ” ระบุว่า
“กล้องวงจรปิดจับภาพหญิงสูงอายุขี่รถจักรยานยนต์มาทางตรง ซึ่งจังหวะนั้นมีรถเก๋งวิ่งมาจากอีกฝั่ง เบรกไม่ทัน ชนรถของเธอล้มกระเด็นไปชนอัดกับโคนเสาท่อหัวจ่ายน้ำดับเพลิงมุมถนน หัวฟาดโดนเสาเข้าเต็มแรงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่เคราะห์ดีที่เธอสวมหมวกกันน็อก ทำให้ไม่เป็นอะไร ได้รับบาดเจ็บแขนขาถลอกเท่านั้น เหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงเย็นวานนี้ (29 ก.ย.) บริเวณสี่แยกวัดใจ โรงเรียนศรียานุสรณ์พื้นที่ตัวเมือง จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นสี่แยกอันตรายที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และขณะเกิดเหตุก็มีฝนตกถนนลื่น”
“ความเสี่ยงบนสี่แยกวัดใจ ทางแยกเป็นจุดที่ผู้ใช้ทางที่มาจากคนละทิศมาเจอกันเกิดเป็นจุดตัดของกระแสจราจร ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการชนกัน และเมื่อผู้ใช้ทางมาถึงบริเวณทางแยกก็จะเกิดสถานการณ์ที่ผู้ขับขี่ต้องตัดสินใจว่าจะไปต่อ หรือจะหยุดให้รถอีกฝั่งไปก่อน ถ้าหากทั้งคู่ตัดสินใจที่จะไปต่อ โดยไม่ชะลอหรือหยุดรถให้อีกฝ่าย ก็อาจจะนำไปสู่เหตุการณ์ที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้”
“ปัจจัยที่ทำให้เกิดทางแยกวัดใจ ความไม่ชัดเจนของสิทธิในการขับขี่ผ่านทางแยก เป็นปัจจัยที่จะทำให้แยกนั้นเป็นทางแยกวัดใจ โดยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ได้ระบุไว้ว่า ในกรณีที่ใครถึงทางแยกก่อนมีสิทธิไปก่อน หรือถ้ามาถึงพร้อมกันรถที่อยู่บนทางเอกจะมีสิทธิได้ไปก่อน และในกรณีที่ถึงทางแยกพร้อมกันแต่ไม่มีทางเอก ทางโท ตามกฎหมายจะให้รถทางซ้ายไปก่อน แต่ในความเป็นจริงมีผู้ใช้ทางน้อยรายที่จะทราบว่าตนอยู่บนทางประเภทใด และมีสิทธิที่จะขับขี่ผ่านทางแยก หรือควรหยุดให้อีกฝั่งผ่านไปก่อน แต่เพื่อความปลอดภัยไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ที่ได้สิทธิผ่านไปก่อนหรือไม่ ก็ควรจะชะลอความเร็วทุกครั้งเมื่อเข้าสู่บริเวณทางแยก”
“เหตุการณ์นี้อาจบอกไม่ได้อย่างชัดเจนว่าใครเป็นฝ่ายที่ทำผิด แต่สิ่งที่เรามองเห็นได้คือพื้นที่บนจุดเกิดเหตุนั้นมีความเสี่ยงสูงมากจากต่อเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากพื้นที่เป็นทางแยกที่ไม่มีสัญญาณไฟซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่เป็นอย่างมาก หากดูคลิปวิดิโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราจะทราบได้ทันทีว่า อุบัติเหตุครั้งนี้คงไม่เกิดขึ้นถ้าหาหาทางแยกมีการติดตั้งสัญญาณไฟ”
“ตามเอกสารของ International Road Assessment Programme (iRAP) ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ระบุว่าการติดตั้งสัญญาณไฟเป็นการป้องกันการขัดกันของกระแสจราจรและช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนทางแยกได้เพิ่มขึ้นสูงสุดถึงร้อยละ 40 นอกจากนี้การมีสัญญาณไฟบนทางแยกยังช่วยส่งเสริมความปลอดภัยในการข้ามถนนของคนเดินเท้าได้ด้วย อย่างไรก็ตามการติดตั้งสัญญาณไฟเองก็ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมในด้านปริมาณการจราจร ปริมาณคนเดินเท้า และความเร็วบนถนนด้วยเช่นเดียวกัน”
“หากกรณีทางแยกนั้นมีพื้นที่สำหรับการปรับปรุงมาก และมีปริมาณการจราจรที่ไม่สูง การเปลี่ยนทางแยกให้เป็นวงเวียนนั้นเป็นมาตรการที่ลดอุบัติเหตุได้ดีที่สุด ตามเอกสารของ International Road Assessment Programme (iRAP) ได้ ระบุว่าการเปลี่ยนพื้นที่ให้เป็นวงเวียนเป็นการป้องกันการขัดกันของกระแสจราจรและช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนทางแยกได้เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 60 หรือมากกว่า”
“เนื่องจากมาตรการที่กล่าวมาก่อนหน้านั้นจำเป็นต้องใช้เวลาและงบประมาณที่สูง มาตรการชั่วคราวอื่นที่ทาง International Road Assessment Programme (iRAP) แนะนำให้ใช้ชั่วคราวในกรณีที่จำเป็นต้องรีบแก้ไขคือ การตีเส้นจราจรบริเวณสี่แยกเพื่อเพิ่มความชัดเจนของตำแหน่งทางแยก เป็นการเตือนผู้ใช้ทางให้เพิ่มความระมัดระวังก่อนถึงทางแยก โดยอ้างอิงจากเอกสารของ iRAP พบว่าการตีเส้นจราจรบนจุดตัดสามารถลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนทางแยกได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10-25 อย่างไรก็ตามมาตรการนี้ เหมาะกับทางแยกที่มีปริมาณการจราจรต่ำเท่านั้น”
สำหรับโครงการ Thailand Road Assessment Programme นั้นเป็นความร่วมมือกันระหว่างคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับองค์กร International Road Assessment Programme (iRAP) ที่มีภารกิจวิเคราะห์และประเมินผลถนนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยประเมินความเสี่ยงของผู้ใช้ทางทั้งหมด 4 กลุ่ม คือคนเดินเท้า รถยนต์ มอเตอร์ไซค์และจักรยาน จัดอันดับจาก 1 ดาวคือเสี่ยงมากที่สุด ไปถึง 5 ดาวคือเสี่ยงน้อยที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี