“กลุ่มเปราะบาง” เป็นคำเรียกประชากรกลุ่มที่ดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่มั่นคง เนื่องจากขาดหลักประกันพื้นฐานบางอย่างดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤติใหญ่ขึ้นในสังคม เช่นล่าสุดกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ คนกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าบุคคลทั่วไป อาทิ แรงงานนอกระบบ ครัวเรือนยากจน ผู้พิการ คนไร้บ้าน กลุ่มชาติพันธุ์ บุคคลผู้ไร้สถานะทางทะเบียน แรงงานข้ามชาติ ฯลฯ ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดเสวนา “นวัตกรรมค้นหาผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง : โควิด-19 กับกลุ่มเปราะบาง” ที่พูดถึงประเด็นดังกล่าว
วิชยา โกมินทร์ นักวิจัยประจำสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึง “แรงงานนอกระบบ” หรือแรงงานที่ไม่มีสวัสดิการแรงงาน (เช่น ประกันสังคมมาตรา 33 ของลูกจ้างภาคเอกชน หรือสวัสดิการของข้าราชการ) อาทิ ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย แท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ลูกจ้างทำงานบ้าน (คนรับใช้ในบ้าน) คนรับงานไปทำที่บ้าน เกษตรกร ฯลฯ ว่า “แรงงานนอกระบบถูกมองอย่างไม่มีตัวตน (Invisible) เสมอมา” ดังเสียงสะท้อน เช่น ลูกจ้างทำงานบ้าน มีบางรายเล่าว่า ไม่รู้นายจ้างไม่พอใจอะไรตน ไม่เคยเตือนเคยบอก จู่ๆ ก็เรียกคนใหม่มาสัมภาษณ์
“หาบเร่แผงลอยคนหนึ่งเคยพูดว่า เรื่องยากที่สุดของการค้าขายของเราคือเรื่องที่ผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลและ กทม. (กรุงเทพมหานคร) ไม่เข้าใจเรื่องการประกอบอาชีพของประชาชน เขาไม่อยากฟังเราพูดด้วยซ้ำ เขาไม่เปิดโอกาสให้เราได้พูดได้เจรจา เขาไม่ฟังว่าเราจำเป็นอย่างไร เขาแบ่งชนชั้นวรรณะกับเรา อันนี้มันเป็นคำพูดที่แสดงถึงความน้อยอกน้อยใจ” วิชยา ยกตัวอย่างท่าทีภาครัฐที่มองผู้ค้าหาบเร่แผงลอย
ขณะที่ อนรรฆ พิทักษ์ธานิน หัวหน้าโครงการพัฒนาระบบสนับสนุนดูแลเด็กนอกระบบการศึกษา และเด็กบนท้องถนนในกรุงเทพมหานคร และศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ทำวิจัยประเด็น “คนไร้บ้าน” กล่าวว่า ปัญหาคนไร้บ้านเป็นเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่ยอดเขาดูเล็กๆ แต่ข้างใต้เป็นก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมา หรือก็คือก่อนจะไร้บ้าน คนเหล่านี้เผชิญความเสี่ยงอยู่แล้ว เช่น มีรายได้ไม่มั่นคง เข้าไม่ถึงที่อยู่อาศัยของตนเอง ฯลฯ และยิ่งเป็นคนไร้บ้านนานเท่าใด โอกาสฟื้นตัวทั้งสุขภาพกายและจิตก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
“มีงานวิจัยที่คณะจิตวิทยา เขาพบว่าหลักๆ คนไร้บ้านในแง่ของจิตมี 3 ตัว คือ Hope (ความหวัง) ต่ำ Resilience (การฟื้นตัวจากภาวะต่างๆ) สูง Self Esteem (ความภูมิใจในตนเอง) ต่ำ ฉะนั้นลักษณะของคนไร้บ้านก็จะเป็นตุ๊กตาล้มลุก คือล้มแล้วลุก มีความทนทานต่ออะไรหลายๆ อย่าง ความไม่แน่นอนหลายๆ อย่าง แต่เขาไม่สามารถเขยิบคุณภาพชีวิตได้” อนรรฆ กล่าว
จากภาคเมืองสู่ชนบท สมพร เพ็งค่ำ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบการประเมินผลกระทบโดยชุมชน (Community Health Impact Assessment) เล่าเรื่อง “บ้านบางกลอย” ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ซึ่งหลายคนคงคุ้นชื่อหมู่บ้านบางกลอยจาก “ปู่คออี้” พ่อเฒ่าที่พยายามต่อสู้เพื่อให้ได้กลับไปอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า“ใจแผ่นดิน” ลึกเข้าไปในพื้นที่อุทยาน เนื่องจากเป็นที่ตั้งเดิมของชุมชนที่อยู่กันมาหลายชั่วอายุคน หรือ “บิลลี่พอละจี” ชายหนุ่มที่ถูกอุ้มหายก่อนพบเป็นศพ โดยบิลลี่เป็นนักเคลื่อนไหวคนสำคัญในการเรียกร้องสิทธิของชาวบ้าน
การบังคับอพยพโยกย้ายชาวบ้านที่เป็น “กลุ่มชาติพันธุ์” จากบ้านใจแผ่นดินมาที่บ้านบางกลอย ทำให้ชาวบ้านส่วนหนึ่งต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตโดยเข้าไปหางานทำในเมือง และหลายคนอยู่ในภาคบริการและการท่องเที่ยว เช่น พนักงานในรีสอร์ท ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น มาตรการล็อกดาวน์ส่งผลกระทบกับคนกลุ่มนี้ เพราะอีกด้านหนึ่ง ครัวเรือนบางส่วนไม่ได้รับการจัดสรรที่ดิน
และแม้จะเป็นครัวเรือนที่ได้รับการจัดสรรที่ดินแต่ก็มีจำกัดไม่สามารถผลิตอาหารเลี้ยงคนทั้งชุมชนได้อย่างเพียงพอเพราะอยู่ติดกับพื้นที่อุทยานขยายไปอีกไม่ได้ จึงเท่ากับว่ารายได้ลดลงแต่รายจ่ายก็ไม่ได้ลดลงด้วยเพราะในยามปกติชาวบ้านก็ต้องใช้เงินซื้ออาหารอยู่แล้ว เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางมารักษาพยาบาลในเมืองก็ยิ่งลำบากขึ้น ขณะที่การส่งเสริมให้ปลูกพืชอื่นๆ นอกเหนือจากการทำนาข้าว เช่น กล้วย กาแฟ ยังต้องปรับปรุงอีกมาก
“อยู่ในป่าน่าจะเข้าถึงอาหารจากธรรมชาติได้ แต่พออยู่ในเขตอุทยานชาวบ้านไม่สามารถไปใช้ประโยชน์จากป่าตรงนั้นได้ มันเลยทำให้ชาวบ้านกลุ่มนี้มีปัญหาความมั่นคงด้านอาหาร เด็กๆ เองก็พยายามอยากจะปลูกผักกินเอง แต่พื้นที่มันไม่เอื้ออำนวยเนื่องจากพื้นที่มันมีจำกัดมาก เขาก็พยายามจะเอาไปปลูกไว้ข้างบ้าน อย่างน้อยจะได้มีอาหารกิน แต่ว่ามันก็ยังไม่เป็นระบบที่ดีมากนัก” สมพร ระบุ
ด้าน ผศ.ดร.นฤมล ทับจุมพล อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกลุ่ม “แรงงานข้ามชาติ (หรือแรงงานต่างด้าว)” ว่า มีแรงงานข้ามชาติในไทยประมาณ 4 แสนคน ต้องเดินทางกลับบ้านเกิด ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการล็อกดาวน์ ปิดกิจการต่างๆ เกือบทั้งหมดเพื่อตัดการรวมกลุ่มของผู้คน อันเป็นช่องทางการระบาดของไวรัสโควิด-19 และเมื่อออกไปแล้วก็ไม่อนุญาตให้กลับเข้ามาอีก
“เรามีตัวเลขแรงงานข้ามชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย ก่อนโควิดคือ 2.8 ล้านคน เกือบๆ 3 ล้านคน หลัง 15 มี.ค. 2563 แล้วก็มาจนถึงปัจจุบัน ตัวเลขเมื่อเดือน ก.ย. 2563 ก็คือ 2.4 ล้านคน แปลว่าหายไป 4 แสนคน ตัวเลขคนเหล่านี้คือคนที่มาขึ้นทะเบียนภายใต้มาตราที่รัฐบาลกำหนดไว้ คือ 59 กับ 64 ก็อาจจะมีมาตราอื่นๆ อยู่ด้วย สิ่งที่น่าสนใจคือภายใต้ 2.4 ล้านคน จำนวน 1.2ล้านคน คือ คนที่เปลี่ยนนายจ้าง หมายถึงแรงงานที่ยังอยู่ในประเทศไทย ไม่สามารถกลับไปประเทศของตนเองได้
แล้วจะจัดการอย่างไรในเรื่องปัญหาการทำงาน รัฐบาลก็มีมติ ครม. (คณะรัฐมนตรี) เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2563 อนุญาตให้เปลี่ยนนายจ้างได้ ดังนั้นในมุมของเราอันนี้ก็ถือเป็นนิมิตใหม่นวัตกรรมหรือเปล่าไม่รู้ แต่เรียกว่าวิธีคิดใหม่ ก็คือคนที่อยู่ในประเทศไทยที่เป็นแรงงานข้ามชาติสามารถเปลี่ยนนายจ้างได้ ก็คือจำนวน 1.2 ล้านคน อันนี้คือตัวเลขพื้นฐานที่เราเจอ” ผศ.ดร.นฤมล กล่าว
ผศ.ดร.นฤมล ยังยกตัวอย่าง “ข้อกังวลว่าด้วยที่อยู่อาศัยกับความเสี่ยงในการติดเชื้อ” เนื่องด้วยที่อยู่ของแรงงานข้ามชาติมักแออัด ขณะเดียวกัน “ประกันสุขภาพแรงงานข้ามชาติยังไม่ครอบคลุมถึงการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และการรักษาหากพบว่าติดเชื้อแล้ว” รวมถึงสิ่งที่ต้องคิดกันต่อไปคือจะปูพรมตรวจคัดกรองกันอย่างไร หรือเมื่อมีวัคซีนแล้วการเข้าถึงจะเป็นอย่างไร ส่วนผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม เช่น มีการเลิกจ้าง ระงับการจ้างชั่วคราว หรือลดชั่วโมงการทำงาน ซึ่งทำให้รายได้ลดลงในขณะที่รายจ่ายยังคงเดิม อาทิ ค่าเช่าที่อยู่อาศัย
นอกจากนี้ “หน่วยงานภาครัฐยังไม่บูรณาการการทำงานเข้าด้วยกัน” แรงงานข้ามชาติยังเสี่ยงถูกจับกุมเพราะสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ไม่ได้ขยายวีซ่า แม้กระทรวงแรงงานจะขยายเวลาอนุญาตทำงานแล้วก็ตาม!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี