ยังคงเดินหน้าตั้งคำถามท้าทายขนบสังคมต่อไปกับบรรดาเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่นอกจากกิจกรรมชุมนุมทางการเมืองแล้วยังมีกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ตามแต่ประเด็นที่แต่ละคนแต่ละกลุ่มสนใจ ดังล่าสุดกับกลุ่ม “นักเรียนเลว” ที่ออกมาเชิญชวนให้เด็กและเยาวชนลุกขึ้นมา “แต่งตัวตามสบายไปเรียน” ซึ่งเป็นประเด็นที่กลุ่มนี้ตั้งคำถามอยู่ก่อนแล้วว่าทรงผมหรือเครื่องแบบนักเรียนมีความสำคัญอย่างไรกับคุณภาพการศึกษา และกลายเป็น “ดราม่า” ข้อถกเถียงอันเผ็ดร้อนบนโลกออนไลน์อยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะกับผู้ใหญ่ที่จำนวนไม่น้อยไม่สบายใจ
แต่อันที่จริง ท่าที “ขบถ” หรือต่อต้านค่านิยมวิถีปฏิบัติกระแสหลักในสังคมขณะนั้นในหมู่คนรุ่นใหม่ ไม่ใช่เพิ่งเกิดในยุคนี้เป็นครั้งแรก เพราะหากย้อนไปในช่วงทศวรรษ 1960s-1970s (ประมาณปี 2503-2522) ในยุคสงครามเย็นที่สหรัฐอเมริกาเป็นพี่ใหญ่ค่ายเสรีนิยมประชาธิปไตย ขับเคี่ยวกับสหภาพโซเวียต (รัสเซีย) และจีนอันเป็น 2 แกนนำฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ เพื่อแย่งชิงการมีอิทธิพลเหนือรัฐน้อยใหญ่อื่นๆ ทั่วโลก คนรุ่นใหม่ในเวลานั้นก็พยายามสร้างสังคมที่แหวกออกไปจากขนบหลักเช่นกัน
“ฮิปปี้ (Hippie)” หรือที่มีผู้แปลเป็นภาษาไทยว่า “บุปผาชน” เป็นวัฒนธรรมของวัยรุ่นอเมริกันยุคนั้น ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายทั้งด้านการเมืองที่สหรัฐฯ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามนอกประเทศ โดยเฉพาะสงครามเวียดนามที่ทำให้คนหนุ่มซึ่งถูกส่งไปรบเสียชีวิตและบาดเจ็บพิการจำนวนมาก และทั้งด้านเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ เป็นทุนนิยมเต็มตัวตามหลักคิด “ความฝันแบบอเมริกัน (American Dream)” ซึ่งคนรุ่นใหม่ชาวอเมริกันเวลานั้นมองว่า แม้ทุนนิยมอาจมอบความสำเร็จให้คนขยันและฉลาดพอ แต่ก็แลกมาด้วยสังคมที่แก่งแย่งแข่งขันสูงจนเกิดความเครียดสะสม
คนรุ่นใหม่จำนวนมากที่เห็นปัญหาจากคนรุ่นพ่อแม่ ตัดสินใจหันเหชีวิตไปในทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เช่น ปฏิเสธที่จะใส่สูทผูกเน็คไทซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายภูมิฐานของสังคมตะวันตก สนุกสนานกับการร้องรำทำเพลงโดยไม่ยึดติดกับเวลาซึ่งถูกสอนว่าเป็นของมีค่าในสังคมทุนนิยม มีกิจกรรมทางเพศอย่างเสรีไม่สนขนบจารีตและศีลธรรมกระแสหลัก รวมถึงยังเสพยาเสพติดโดยเฉพาะกัญชา วัฒนธรรมฮิปปี้แพร่หลายไปทั่วสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 1960s ก่อนจะค่อยๆ เสื่อมความนิยมลงในช่วงกลางทศวรรษ 1970s และหายไปในที่สุด
สำหรับประเทศไทยนั้นในยุค 1960s-1970s มีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ โดยตรง เพราะสหรัฐฯ ใช้ไทยเป็นฐานที่มั่นหลักเพื่อต่อต้านการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการตั้งฐานทัพเพื่อส่งทหารไปรบในสงครามเวียดนาม วัฒนธรรมอเมริกันเริ่มไหลบ่าเข้ามาในสังคมไทย ซึ่งรวมถึงวัฒนธรรมฮิปปี้ที่คนรุ่นใหม่ชาวอเมริกันใช้เป็นเครื่องมือต่อต้านสงครามและเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่สร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วย
ในยุคนั้น สังคมไทยมีคำเรียก “5 ย.” หมายถึง “ไว้ผมยาว สะพายย่าม สวมเสื้อยืด กางเกงยีนส์และรองเท้าแตะยาง” ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่แต่งกายทำนองดังกล่าวไปเรียนตามมหาวิทยาลัยต่างๆ แทนที่จะสวมเครื่องแบบตามกฎระเบียบของแต่ละสถาบัน ซึ่งก็เช่นเดียวกับฮิปปี้ในสหรัฐฯ ที่ผู้คนร่วมสมัยมองคนเหล่านี้ในแง่ไม่ค่อยดีนัก วัฒนธรรม 5 ย. ดำรงอยู่คาบเกี่ยวกับเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองครั้งสำคัญอย่าง 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 รวมถึงการชุมนุมขับไล่ฐานทัพสหรัฐฯ ในปี 2518 ก่อนจะค่อยๆ คลายความนิยมลงไปพร้อมกับวัฒนธรรมฮิปปี้
ช่วงนี้กระแสคนรุ่นใหม่รณรงค์ท้าทายขนบสังคมกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ก็น่ามีใครลองไปถามคนรุ่นใหม่ในวันวานที่กลายเป็นคนรุ่นเก่าในวันนี้ ว่าเมื่อนึกถึงสิ่งที่ได้ทำลงไปเมื่อครั้งยังเป็นวัยหนุ่ม-สาว ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง เผื่อจะนำมาเป็นบทเรียนหรือข้อคิดกับบรรดาคลื่นลูกหลังนี้ได้ไม่มากก็น้อย!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี